ผลของการสวดมนต์

อัน “คนเรา” เกิดมาเหมือนกับสัตว์ พืช คือสิ่งที่มีชีวิต แต่ปัจจัย 4 อันได้แก่ “ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ยารักษาโรค” เป็นสิ่งที่มนุษย์ หรือคนต้องมี ต้องใช้ตั้งแต่แรกเกิดจนตาย แต่คำว่า 3 สิ่งที่มีชีวิตที่กล่าวเบื้องต้นนั้น “คน” จะบริโภค หรือกินทั้งพืชและสัตว์ อันได้แก่ กุ้ง หอย ปู ปลา นก หนู งู ตะขาบ กบ เขียด สุนัข สุกร วัว ควาย ตั๊กแตน จิ้งหรีด มด ส่วนพืชก็ทานเกือบทุกชนิดไม่ว่าผักคะน้า หอม กระเทียม มะม่วง มะปราง มะนาว และอื่นๆ การที่คนเราเคยรักแต่ความสนุก เคยฆ่านำเลือดเนื้อมาเป็นอาหาร หรือฆ่าด้วยความรังเกียจขยะแขยง อาจจะโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นคือ “เจ้ากรรมนายเวร” ที่รอโอกาสเอาคืน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ชีวิตของคนคนหนึ่งที่ยังมีกิเลส ได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ภูมิหลังนับครั้งไม่ถ้วน มากกว่าเม็ดทรายในทะเลทรายเสียอีก และหากจะลองนับดูในอดีตชาติที่แล้วแล้วมา เราได้พรากชีวิตผู้อื่นมาแล้วจำนวนเท่าไร คงมากเกินกว่าจะนับได้ เพราะเพียงชาตินี้ชาติเดียวตั้งแต่จำความได้กระทั่งวันนี้ยังนับได้ยากว่าเราเคยได้ฆ่า หรือกลืนกินเนื้อผู้อื่นมามากเพียงไร

ดังนั้น ชีวิตทุกชีวิตต่างก็มี “เจ้ากรรมนายเวร” ติดตามเพื่อทวงแค้นด้วยกันทุกคน เหมือนสุนัขที่ไล่เนื้อตามทันเมื่อไรก็งับเมื่อนั้น ความทุกข์ ความโชคร้าย ความเจ็บไข้ได้ป่วย การประสบอุบัติเหตุให้ต้องสูญเสียอวัยวะและการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก “ก่อนเวลา” อันควร การถูกโจรผู้ร้ายลักพาลูกหลาน การเกิดมาไม่สมประกอบ เคราะห์ร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการถูก “เจ้ากรรมนายเวร” สาปแช่ง

หนทางเดียวที่จะระงับผลร้ายที่กล่าวมาได้คือ “ต้องสร้างบุญกุศล” ด้วยการแผ่เมตตาส่งกระแสจิตที่มีความปรารถนาดีไปสู่จิตใจของ “เจ้ากรรมนายเวร” ให้เขาได้สัมผัสถึงความอ่อนโยนแห่งจิตใจ ประดุจการหยิบยื่นน้ำเย็นที่ใสสะอาดแก่ผู้เดินทางไกลให้ได้รับความสดชื่น มีกำลังคลายความหมายเหนื่อยล้า รับเรื่องร้ายๆ ระหว่างทางที่ประสบมา

Advertisement

“เมตตาธรรม” เป็นน้ำทิพย์ที่แสนวิเศษที่มีคุณสมบัติขจัดความอาฆาตแค้นจากดวงจิตของผู้ที่คิดปองร้ายให้หันมาเป็นมิตร และพร้อมที่จะอภัยให้แก่ผู้กระทำผิด ดุจมารดาที่รักบุตรพร้อมอภัยแก่บุตรผู้กระทำผิดทุกเมื่อฉันนั้น

ดังนั้น ผู้ที่ปรารถนาความสุขความเจริญในชีวิต ปรารถนาไม่มีเวรไม่มีภัย ปราศจากทุกข์อันเกิดจากคำสาปแช่ง ปราศจากโรคร้าย ความพลัดพราก อุบัติเหตุเภทภัยต่างๆ ประสบความสุขสงบร่มเย็นในทุกถิ่นสถานกาลทุกเมื่อ ความเจริญเมตตาด้วยการ “สวดมนต์มหาเมตตาใหญ่” ให้ได้มากครั้งเป็นประจำทุกวัน หรือทุกโอกาสที่สะดวกเถิดเพราะ “เมตตาธรรมที่บุคคลเจริญดีแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมนำสุขมาให้แต่ส่วนเดียว สาธุ สาธุ สาธุ” มีเรื่องเล่ากันว่า

แม่ชีคนหนึ่งชื่อ “แม่ชีก้อนทอง ปานเณร” แม่ชีคนนี้เคยไปอยู่มาหลายสำนัก วันหนึ่งมาอยู่ที่วัดของอาตมา (คือ วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี) อาตมาก็บอกว่า “โยมวันนี้ไม่มีสำนักแม่ชี และก็ไม่มีกุฏิชีอยู่ แต่ถ้าโยมไม่กลัวผี ก็อยู่ห้องว่างบนศาลา มีห้องว่างอยู่หลังหนึ่ง” แม่ชีก็ตกลงอยู่บนศาลา

Advertisement

อาตมาให้เดินจงกรม และนั่งปฏิบัติภาวนาหนึ่งเดือนผ่านไป โยมแม่ชีก็มาบอกอาตมาว่า “หลวงพ่อ ฉันจะลำบากเสียแล้ว” อาตมาถามว่า “ลำบากเรื่องอะไร” แม่ชีบอกว่า “เทวดามารบกวน” อาตมาถามว่า “เทวดามารบกวนเรื่องอะไร” แม่ชีบอกว่า “เทวดามาชวนสวดมนต์” อาตมาให้ถามเทวดาดูว่า “เทวดาอยู่ไหน และมาชวนสวดมนต์บทอะไร?”

แม่ชีก็ถามเทวดาอีก เทวดาก็บอกแม่ชีว่ามาอยู่ที่ต้นพิกุลข้างโบสถ์ เพราะโดนสาปมาจากสรวงสวรรค์ ซึ่งถูกทำโทษเพราะทำผิดประเวณีนางฟ้า จึงโดนสาปแล้วให้มาสถิตที่ต้นพิกุลเป็นเวลา 100 ปี จากนั้นก็บอกมาชวนสวดมนต์ “บทเมตตาใหญ่” อาตมาถามแม่ชีว่า “มาชวนสวดมนต์เวลาไหน” แม่ชีก็บอกว่า “มาชวนสวดมนต์ เวลา 24.00 น. เทวดาจะมาเฝ้าพระพุทธเจ้า”

เทวดาก็ยังบอกเคล็ดลับอีกว่า ถ้าบ้านไหนมีเครื่องสักการบูชาพระพุทธรูปที่เปรียบเสมือนเป็นประติมากรรมแทนองค์พระพุทธเจ้า และสวดมนต์ไหว้พระอยู่เป็นประจำ เทวดาจะมาสถิต เรียกว่า “เทพสถิต” แต่ถ้าบ้านไหนไม่มีเครื่องสักการบูชา ไม่สวดมนต์ไหว้พระ ก็เหมือนกับว่าไม่มีเทวดามาสถิต แล้วเทวดาบอกอีกว่า บ้านไหนเอาใจใส่สวดมนต์ไหว้พระจะมีเทวดามาร่วมสวดมนต์ด้วย บ้านนั้นจะมีเทวดาไปอยู่รักษาคุ้มครองทั้งครอบครัว และยังบอกอีกว่า คนเรามีเทวดาประจำวันเกิดกันทุกคน ถ้าเทวดาประจำวันเกิดออกไปเมื่อใด มักจะถึงแก่ความตาย ถ้าหากเทวดาองค์ต่อไปไม่รักษา

แม่ชีก้อนทองสวดมนต์ผ่านไป 1 ปี ก็มีความชำนาญจนสามารถพูดคุยกับเทวดาอย่างมีความคุ้นเคยและสามารถรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้ล่วงหน้าซึ่งเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่ง ทั้งที่แม่ชีก้อนทองอ่านหนังสือไม่ออกเลย ในกาลต่อมาอาตมาก็ได้ให้แม่ชีก้อนทองสวดมนต์ให้ฟัง อาตมาก็ไม่แน่ใจจึงไปหาซื้อตำราแถวเสาชิงช้า ถามหา “บทสวดมนต์เมตตาใหญ่” เขาบอกว่าไม่มี อาตมาก็เลยไปถามท่านพระครูปลัดแห่งวัดสุทัศนเทพวราราม ปัจจุบันเป็นเจ้าคุณไปแล้ว ท่านพระครูปลัดก็ให้ยืมหนังสือพุทธาภิเษก ฉบับ สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ค้นหาดูก็พบอยู่ที่บทต่อท้ายมหาพุทธาภิเษก นั่นเอง

ต่อมาเช้าวันหนึ่ง ต้นพิกุลเทพสถิตก็โค่นลงอย่างสนั่นหวั่นไหวโดยไม่มีพายุเลย อาตมาก็ไปเปิดสมุดบันทึกดูเหตุการณ์ทั้งหมดก็ครบกำหนด 100 ปีพอดีที่เทวดาโดนสาปมาจากสวรรค์ ภายหลังแม่ชีก้อนทองก็มีสำนักชีอยู่ และแม่ชียังยืนยันก่อนตายว่า เป็นความจริงยังใช้ได้ที่เทวดาจะไปร่วมสวดมนต์ตามบ้านในเวลา 24.00 น.

เทวดายังบอกต่อไปอีกว่า “บ้านไหนมีเครื่องสักการบูชาไม่สะอาด แล้วตั้งโต๊ะหมู่บูชาพระมีคนนอนเกะกะอยู่ เทวดาไม่เข้าไปสวดมนต์แน่นอน บ้านไหนหมั่นสวดมนต์ เทวดาจะมาร่วมสวดมนต์ทุกคืนและคุ้มครองรักษา”

อนึ่ง อานิสงส์การสวด “บทมหาเมตตาใหญ่” มี 11 ประการ กล่าวคือ

1) หลับเป็นสุข 2) ตื่นเป็นสุข 3) นอนไม่ฝันร้าย 4) เป็นที่รักของมนุษย์ 5) มนุษย์ไม่เบียดเบียน 6) เทวดารักษา 7) แคล้วคลาดปลอดภัย 8) เกิดในพรหมโลก 9) ผิวพรรณผ่องใส 10) ไม่หลงตาย และ 11) จิตสงบเร็ว และการสวดเมตตาใหญ่ให้เกิดอานิสงส์ 11 ประการ และให้เกิดปฏิหาริย์บันดาลให้พ้นเวรกรรมนั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 5 ประการ กล่าวคือ

ผู้สวดต้องมีศรัทธา ผู้สวดต้องมีวิริยะความเพียร ผู้สวดต้องมีสติ ผู้สวดต้องมีสมาธิและที่สำคัญคือ ผู้สวดต้องมี “ปัญญา” คือมองให้เห็นชัดว่าการสวดมหาเมตตาใหญ่นี้มีประโยชน์อย่างไร และสามารถตัดเวรตัดกรรมได้อย่างไร ไม่สวดมนต์ด้วยความสงสัย หรือเชื่ออย่างงมงายปราศจากเหตุผล ไงเล่าครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image