นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ (อีไอซี) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า อีไอซีประเมินว่าอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2561 จะขยายตัว 4% ใกล้เคียงกับปี 2560 โดยแรงหนุนสำคัญต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา จากการส่งออกที่เติบโตดีที่ 5% ตามอานิสงส์เศรษฐกิจทั่วโลกที่ขยายตัวดีขึ้น การท่องเที่ยวขยายตัว 7.9% หรือจำนวน 38 ล้านคน สำหรับปัจจัยใหม่ปีนี้คือ การลงทุนที่จะกลับมาเติบโตดีจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ คาดขยายตัว 8.7% และการลงทุนเอกชนจากการขยายกำลังการผลิตรองรับภาคการส่งออกและลงทุนรองรับเทคโนโลยีใหม่ตามแนวโน้มที่ต้องปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล คาดขยายตัว 3% อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง คาดขยายตัว 3% แต่เป็นการพึ่งพากำลังซื้อของกลุ่มผู้มีรายได้สูงและกลุ่มผู้ซื้อรถคันแรกที่ทยอยหมดภาระการผ่อนที่มีกำลังซื้อมากขึ้น ส่วนกำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ยังคงได้รับผลกระทบจากทั้งการจ้างงานและค่าจ้างที่ลดลงในปีที่ผ่านมา รวมถึงภาระหนี้ต่อรายได้ที่ยังสูงและเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อการบริโภค ทั้งนี้ มาตรการสวัสดิการแห่งรัฐเฟสที่ 2 ที่จะออกมาจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อส่วนหนึ่งได้และหากผู้มีรายได้มีรายได้เพิ่มขึ้นในระยะยาวจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อได้มากขึ้น
“ส่งออกมีโอกาสที่ขยายตัวมากกว่า 5% ตามความต้องการสินค้าในตลาดโลก ขณะที่การลงทุนปีนี้ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี คาดว่าเม็ดเงินลงทุนภาครัฐปีนี้จะอยู่ที่ 160,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 80,000 ล้านบาท ซึ่งหากสามารถผลักดันการลงทุนให้ออกมาได้มากกว่านี้มีโอกาสที่จะขยายตัวได้มากกว่า 5% สำหรับไตรมาสแรกคาดจีดีพีเติบโต 3.9%” นายพชรพจน์กล่าว
นายพชรพจน์กล่าวว่า ความเสี่ยงหลักในปี 2561 ได้แก่ ราคาสินค้าเกษตรที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำจากผลผลิตที่ออกมามากจะกระทบกับรายได้ของครัวเรือนส่วนใหญ่ เป็นการส่งผลซ้ำเติมต่อกำลังซื้อที่ยังไม่ได้ฟื้นตัว สอง คือ การแข็งค่าของเงินบาท คาดว่ากรอบค่าเงินบาทปีนี้จะอยู่ที่ 32.00-33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ที่จะกระทบกับรายได้ในรูปเงินบาทและความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก รวมทั้งกังวลว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่ายาวนาน จะกดดันรายได้เกษตรเมื่อแปลงมาเป็นค่าเงินบาท เนื่องจากประเทศที่มีสินค้าเกษตรส่งออกใกล้เคียงกันไม่ได้มีค่าเงินแข็งค่าเท่ากับค่าบาทที่แข็งค่า 10% เทียบดอลลาร์สหรัฐ อาทิ เวียดนาม จีน เป็นต้น ต้องติดตามสินค้าเกษตรชนิดที่คล้ายกัน
ความเสี่ยงที่สาม คือ การขาดแคลนแรงงานทั้งแรงงานต่างด้าวและแรงงานทักษะขั้นสูง ซึ่งความเสี่ยงนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของการลงทุนสะดุดลงได้ และความเสี่ยงสุดท้าย คือ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่มีโอกาสส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ อาทิ ความไม่สงบในคาบสมุทรเกาหลี ความไม่แน่นอนทางการเมืองของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐ รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองของหลายประเทศในสหภาพยุโรป
ขณะที่ปัจจัยด้านการเลือกตั้งของไทย มองว่าจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการลงทุนไม่มากนัก เนื่องจากภาครัฐมีนโยบายให้การลงทุนในโครงการต่างๆ สามารถดำเนินต่อไปได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว หากการเลือกตั้งล่าช้าจึงไม่น่าจะกระทบมากนัก ขณะที่การลงทุนเอกชนมีความจำเป็นต้องลงทุนขยายกำลังการผลิตและลงทุนเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยี
นายพชรพจน์กล่าวว่า ดอกเบี้ยนโยบายของไทย คาดการณ์ว่าทรงตัวในระดับ 1.5% ตลอดทั้งปี โดยไม่กังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งผลให้ดอกเบี้ยไทยต้องปรับขึ้นตาม เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวได้ไม่ทั่วถึงและแรงกดดันจากเงินเฟ้อก็ยังมีไม่มากนัก แต่อาจจะกระทบให้มีทุนไหลออกของเงินลงทุนในตลาดหุ้น และพันธบัตร หากธนาคารกลางของกลุ่มประเทศหลักๆ มีนโยบายลดงบลดจากมาตรการอัดฉีดทางการเงินลงเร็วกว่าเดิมหลังเศรษฐกิจดีต่อเนื่อง