เสนอรบ.แก้ข่มขืน ‘วาระแห่งชาติ’ ฉีดให้ฝ่อ เก็บ DNA ขึ้นทะเบียนผู้ก่อคดีเพศร้ายแรง
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ที่อาคารรัฐสภา (เกียกกาย) กรุงเทพฯ ศ.โกวิทย์ พวงงาม ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา การข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ตามที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงทางเพศ ข่มขืนกระทำชำเรา และการล่วงละเมิดทางเพศ ต่อเด็กและผู้หญิงมาโดยตลอด สภาผู้แทนราษฎร โดย กมธ.วิสามัญฯ จึงได้ตั้งคณะอนุ กมธ. 2 ชุด เพื่อมาศึกษาสถานการณ์ดังกล่าว และหาแนวทางป้องกันและแก้ไข ที่ผ่านมาคณะอนุ กมธ.มีการประชุมเป็นระยะ ก่อนเสนอผลศึกษาให้ กมธ.วิสามัญฯ พิจารณา
และได้ข้อสรุปที่จะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา เพื่อส่งต่อไปยังรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ เสนอให้รัฐบาล กำหนดการแก้ปัญหาเรื่องนี้ เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมจัดตั้งคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวระดับชาติ ทำหน้าที่บูรณาการหน่วยงานที่ทำงานเรื่องนี้ ที่ปัจจุบันเป็นลักษณะต่างคนต่างทำ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กรมราชทัณฑ์ ฯลฯ
ประธาน กมธ.วิสามัญฯ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ได้เสนอ 4 แนวทางดำเนินงานแก้ปัญหา อาทิ ในการป้องกันปัญหา ให้กระทรวงศึกษาธิการ ปรับหลักสูตรสอนเรื่องเพศวิถีศึกษา ให้มีความชัดเจนและเข้าใจง่าย รวมถึงหน่วยงานที่ดูแลชุมชน ให้ทำงานเชิงรุกในการเฝ้าระวังและช่วยเหลือดูแลครอบครัวเสี่ยง เช่น ครอบครัวที่มีพ่อเลี้ยง ลูกเลี้ยง ครอบครัวที่ลูกสาวอยู่กับบุพการีลำพัง
รวมถึงเสนอแก้ไขเพิ่มเติมนิยาม “กระทำชำเรา” และเพิ่มบทนิยามการกระทำ “คุกคามทางเพศ” ครั้งแรกในประมวลกฎหมายอาญาด้วย ตลอดจนให้ดำเนินการทางวินัยร้ายแรงแก่ข้าราชการครู บุคลากรทางการศึกษา และเจ้าหน้าที่รัฐ กรณีล่วงละเมิดทางเพศต่อนักเรียนและผู้อยู่ในความดูแล ด้วยการปลดออกหรือไล่ออก เพื่อจะมีผลต่อการถูกตัดบำเหน็จบำนาญ ควบคู่ไปกับการติดคุกในคดีอาญา จะได้เกรงกลัวไม่กระทำผิด
อย่างไรก็ตาม ได้เสนอ 3 แนวทางแก้ปัญหาใหม่ คือ
1.การใช้ยาปรับฮอร์โมนผู้กระทำผิด หรือบางคนเรียกว่าฉีดให้ฝ่อ ซึ่งเป็นแนวทางจากต่างประเทศ การฉีดจะมีแพทย์ประเมินสภาพร่างกายและจิตใจผู้กระทำผิดก่อน ฉีดเฉพาะลักษณะคดีที่กระทำผิดซ้ำคดีทางเพศ แต่ไม่ใช่กับคดีคุกคามทางเพศ เช่น มองนม จับนม และการฉีดก็ต้องพิจารณาอีกว่าจะให้ยามีฤทธิ์ 2, 3 หรือ 6 เดือน เพราะคงไม่ใช่ฉีดให้ฝ่อตลอด แนวทางนี้คงต้องศึกษาให้ละเอียดอีกครั้ง
2.จัดเก็บดีเอ็นเอผู้ต้องขังคดีทางเพศร้ายแรง เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการติดตามการกระทำความผิดซ้ำ ซึ่งมีผลงานวิจัยจากต่างประเทศรองรับ ว่าการตรวจดีเอ็นเอเก็บไว้ จะทำให้รู้ทันทีและเฝ้าระวังได้
และ 3.ลงทะเบียนและเปิดเผยข้อมูล ของผู้ต้องขังคดีความผิดเกี่ยวกับเพศร้ายแรง เพื่อติดตามผู้เคยกระทำผิดที่เป็นกลุ่มเสี่ยงออกมากระทำผิดซ้ำ จริงๆ ปัจจุบันมีกลไกตรงนี้อยู่ เพียงแต่จะทำอย่างไรดำเนินการให้จริงจัง ระหว่างกรมคุมประพฤติ และหน่วยงานท้องถิ่น เช่น กรณีผู้พ้นโทษย้ายที่อยู่ จะเฝ้าระวังอย่างไร แต่ขณะเดียวกันการดำเนินการก็จะต้องไม่ละเมิดสิทธิด้วย
อย่างไรก็ตาม จะเสนอเข้าสภาฯในการประชุมสมัยนี้ หรือคาดว่าประมาณต้นเดือนกันยายน เชื่อว่าจะลุล่วงด้วยดี เพราะใน กมธ.วิสามัญฯ มีตัวแทนจากทุกพรรคเข้าร่วม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
– ‘บุ๋ม’ พูดจริง ไม่มั่ว! ปธ.อนุ กมธ.ยัน หวังอุดช่องว่าง กม.อาญา ลดเหตุรุนแรงทางเพศ
– องค์กรสตรี เชื่อคนส่วนใหญ่แยกแยะได้ มองนมผิดหรือไม่ผิด ชี้ใครเห็นด้วย ถือว่าสนับสนุนคุกคามทางเพศ
– บุ๋ม-ปนัดดา สวนกลับ เอ๋-ปารีณา ‘ถ้าไม่ฉลาดให้อยู่เงียบๆ’ หลังโดนแซะ ‘มั่ว’ กฎหมายข่มขืน