ยกฟ้อง ‘อดีตพระพรหมดิลก-ผู้ช่วยฯ’ คดีฟอกเงินทอนวัด กลับมาห่มจีวรอีกครั้ง

ยกฟ้อง ‘อดีตพระพรหมดิลก-ผู้ช่วยฯ’ คดีฟอกเงินทอนวัด กลับมาห่มจีวรอีกครั้ง

เมื่อวันที่ 23 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังอดีตพระพรหมดิลก และอดีตพระอรรถกิจโสภณ ผู้ถูกกล่าวหาร่วมกันฟอกเงิน จากการทุจริตจัดสรรเงินงบประมาณ พ.ศ.2557 ให้กับวัดสามพระยา จำนวน 5 ล้านบาท ในงบส่วนอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม ได้กลับมาห่มจีวรอีกครั้ง พร้อมทั้งเข้าทำพิธีในพระอุโบสถเบื้องหน้าพระประธาน โดยมีคณะสงฆ์วัดสามพระยา เข้าร่วมพิธี

จากนั้นนายอรรณพ บุญสว่าง ทนายความ ได้อ่านคำพิพากษาแจ้งต่อคณะสงฆ์วัดสามพระยา ว่า ศาลได้ยกฟ้องอดีตพระพรหมดิลกและอดีตพระอรรถกิจโสภณแล้ว จากนั้นคณะสงฆ์วัดสามพระยาไม่มีผู้ใดเห็นค้าน พร้อมทั้งกล่าวสาธุ และเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับอดีตพระพรหมดิลก และอดีตพระอรรถกิจโสภณ

นายอรรณพกล่าวว่า การดำเนินคดีกับอดีตพระพรหมดิลกและอดีตพระอรรถกิจโสภณไม่มีความเป็นธรรมมาตั้งแต่ต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีการออกหมายเรียก แต่กลับมีการนำกำลังเจ้าหน้าที่เข้ามาจับกุมตัวเลย ส่วนขั้นตอนตามพระธรรมวินัยก็ยังไม่ได้มีการดำเนินการ เพราะอดีตพระพรหมดิลกเป็นถึงกรรมการมหาเถรสมาคม ตามขั้นตอนแล้วต้องกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช และตั้งคณะวินัยธรขึ้นมาสอบสวนก่อน หากพบว่ามีความผิดจึงดำเนินการกล่าวโทษทางอาญา จึงกล่าวได้ว่าการดำเนินคดีดังกล่าวอดีตพระพรหมดิลก และอดีตพระอรรถกิจโสภณ ไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งทางพระธรรมวินัย และทางกฎหมาย อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีการพูดถึงการฟ้องกลับแต่อย่างใด

Advertisement

ด้านนายสิปป์บวร แก้วงาม ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในฐานะโฆษก พศ. กล่าวถึงกรณีที่อดีตพระพรหมดิลก และอดีตพระอรรถกิจโสภณ ไม่ได้เปล่งวาจาสึก และกลับไปห่มจีวร ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องพระธรรมวินัย ซึ่งจะต้องเป็นการพิจารณาของเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์

นายสิปป์บวรกล่าวว่า ที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) เคยมีมติรับทราบ เรื่อง การพ้นจากความเป็นพระภิกษุ กรณีต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา จากกรณีที่มีพระภิกษุถูกจับกุม กรณีต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา โดย พศ.ได้นำกฎหมายที่บัญญัติไว้ในมาตรา 28, 29, 30 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาชี้แจงทำความเข้าใจ ดังนี้ 1.พระสงฆ์รูปใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย ต้องสึกภายใน 3 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด 2.พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว และเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับมอบตัวไปควบคุม หรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม หรือพระภิกษุรูปนั้นมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้

นายสิปป์บวรกล่าวอีกว่า 3.เมื่อจะต้องจำคุก กักขัง หรือขับพระรูปใดตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาล มีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้ และให้รายงานให้ศาลทราบถึงการสละสมณเพศนั้น กรณีจำเลยยอมสึก ถอดจีวรออก เพราะถูกจับความผิดอาญา และพนักงานสอบสวนไม่ให้ประกันตัว ต่อมาได้รับการประกันตัว กลับมาแต่งกายเป็นพระภิกษุอีก โดยมิได้อุปสมบทใหม่ จะมีความผิดฐานแต่งกายหรือใช้ครื่องที่แสดงว่าเป็นพระภิกษุสามเณรโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 208 พระภิกษุที่สละสมณเพศกรณีกระทำความผิดทางอาญาและศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว จะเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1.ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และรับโทษตามคำพิพากษาแล้ว เมื่อพ้นโทษออกมา สามารถเข้ามาบวชได้ 2.ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดและรอลงอาญา เมื่อพ้นจากระยะเวลาการรอลงอาญา สามารถเข้ามาบวชได้ เว้นแต่ 3.ผู้ที่พ้นจากความเป็นพระภิกษุเพราะต้องปาราชิกมาแล้ว ไม่ว่าจะมีคำวินิจฉัยตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 หรือไม่ก็ตาม จะบรรพชาอุปสมบทอีกไม่ได้ และถ้าหากมารับบรรพชาอุปสมบทใหม่โดยกล่าวเท็จ หรือปิดบังความจริงต่อพระอุปัชฌาย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี

Advertisement

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ทนายเผย ‘อดีตพระพรหมดิลก’ กับ ผช. เตรียมกลับห่มเหลืองหลังศาลอุทธรณ์เเก้ยกฟ้อง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image