วิกฤตทางการเมืองที่รัฐบาลกำลังเผชิญครั้งนี้เกิดจากสาเหตุเดียวเท่านั้น
นั่นคือ การตระบัดสัตย์
มีที่ไหนบอกว่า “ขอเวลาไม่นาน” แต่คนหน้าเดิมคณะเดิมเสพเสวยอำนาจต่อเนื่องกันมาเกือบ 7 ปี
อย่างน้อยในระบอบประชาธิปไตยก็มี “เทอม” หรือวาระ ครบ 4 ปีต้องมีการเปลี่ยนผ่านอำนาจกันด้วยสันติ
ไม่มี “ข้ออ้าง” อันใดให้ “กองทัพ” ใช้กำลังรบและอาวุธปืนเข้ายึดอำนาจการบริหารประเทศ
จุดเริ่มต้นของ “วิกฤต” คราวนี้มาจากการใช้ความป่าเถื่อนทางการเมือง
รัฐประหารเสร็จก็หลอกผู้คนว่า “ไม่สืบทอดอำนาจ” (เราจะทำตามสัญญา)
แต่เจตนาปรากฏ เมื่อ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” เผยว่า “เขาอยากอยู่ยาว” !
จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” กับ “มือ” ของ ส.ว. 250 คน
แค่พลิกแพลงจาก “ปืน” มาเป็น “มือ” ประยุทธ์ก็ได้กลับมาเป็น “นายกรัฐมนตรี” รอบ 2 อย่างง่ายดาย
ผู้คนจึงเห็นแล้วเข้าใจแล้ว ว่าการเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัว มองเห็นภาพความเหลื่อมล้ำ มองเห็นระบบยุติธรรมที่ไหวเอน ไม่เป็นโล้เป็นพาย
เผด็จการได้ทำลายทุกกลไกในระบบให้เชื่อง พิกลพิการ แม้กระทั่งองค์กรที่เรียกตัวว่า “อิสระ” ก็ไม่ได้พ้นไปจากการถูกครอบงำ
เมื่อมีผู้ลุกขึ้นมาต่อต้าน ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมี “มือจุดไฟ” ทำให้ฝ่ายต่อต้านอำนาจรัฐกลายเป็น “ผู้ร้าย”
“ฟืน” มีอยู่
แค่ให้คนจุดไฟขึ้นมาแล้วนั่งดูการไหม้ลาม
วิธีกำจัดฝ่ายตรงกันข้ามทางการเมืองในประเทศนี้ทำกันได้ง่ายมาก
ประดิษฐวาทกรรมขึ้นมา วาดภาพ ป้ายสี ปลุกผีให้น่ารังเกียจ สร้างความเกลียดชังแล้ว “กำจัด” ให้พ้นทาง
ก่อน พ.ศ.2500 กำจัด “ปรีดี”
ทศวรรษก่อนหน้านี้ ทุกเรื่องที่เลวร้ายป้ายสี “ทักษิณ”
มาถึงทศวรรษนี้
ถนนทุกสายมุ่งทำลาย “ธนาธร” !
ถ้าความคิดใหม่ สิ่งที่เกิดใหม่หรือผู้มาใหม่ล้วนแต่เป็น “ปฏิปักษ์” ที่จะต้องกำจัดให้สิ้นซากแล้วประเทศเราจะก้าวไปอย่างไรในอนาคต
ที่จริงแล้ว วิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งนี้กำลังก้าวย่างเข้าสู่เขตแดนอันตราย
หากย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ของการจุดชนวนความบ้าคลั่งของฝูงชน จะพบว่าทุกครั้งจบลงด้วยการเข่นฆ่าและการนองเลือด
อย่าได้ประมาท
ตัวละครเดิม บทละครเดิม ขับเคลื่อนอย่างเป็นขบวน
แนวโน้มความรุนแรงโชยมา !?!!