ผู้เขียน | กล้า สมุทวณิช |
---|
บรรยากาศบนถนนตอนนี้เต็มไปด้วยป้ายหาเสียง ที่ไม่ใช่ป้ายหาเสียงระดับพรรคการเมืองด้วย แต่เป็นป้ายหาเสียงระดับผู้สมัครที่เริ่มปูพรมปักป้ายกันไปแทบทุกเขต
เล่นเอาเสียความมั่นใจไปเลยว่า หรือนี่เราตกข่าวไปหรือเปล่าว่าเขายุบสภาประกาศวันเลือกตั้งกันไปแล้วโดยไม่รู้เรื่องหรือเปล่านี่
แม้ว่าเขตที่คาดหมายและวางตัวผู้สมัครกันไว้ในตอนนี้ สุดท้ายก็อาจจะเคลื่อน จากผลของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันศุกร์ที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา จะชี้ว่า การแบ่งเขตของ กกต.ที่ผ่านมา ซึ่งรวมเอาคนต่างด้าวและผู้ไร้สัญชาติเข้าเป็น “ราษฎร” ในบางพื้นที่ด้วยนั้นไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ทำให้อาจจะต้องมีการแบ่งเขตกันใหม่ก็ตาม
ท่าทีที่น่าสนใจที่สุดในช่วงเวลาเดียวกันนี้ คือโพสต์ใน Fan page Official ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 เรื่อง “ทำไมต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง”
เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นคำอธิบายว่า ทำไมเขาถึงยัง “ไปต่อ” ที่จะนำพรรคพลังประชารัฐดำเนินบทบาททางการเมือง หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แยกตัวออกไปตั้งพรรคใหม่
ความน่าสนใจอย่างยิ่งคือการยอมรับว่า ความขัดแย้งทางการเมืองไทยในทุกวันนี้ เป็นความขัดแย้งระหว่าง “กลุ่มอิลิท” (สะกดตามโพสต์ของเจ้าตัว) ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการกำหนดความเป็นไปของประเทศ เป็นกลุ่มคนที่ไม่เชื่อมั่นต่อระบอบประชาธิปไตยและความรู้ความสามารถของประชาชนในการเลือกนักการเมืองเข้ามาครอบครองอำนาจบริหารประเทศ เห็นดีเห็นงามกับการ “หยุดประชาธิปไตย” เพื่อ “ปฏิรูป” หรือ “ปฏิวัติ” … โดยอ้างว่าเป็นไปด้วยความหวังดีหรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งในที่สุด “กลุ่มอิลิท” ผู้ยึดครองอำนาจด้วยวิธีพิเศษนี้ จะกลายเป็น “ฝ่ายอำนาจนิยม”
กับคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง คือ “ฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม” คือ ประชาชน และนักการเมืองที่ประชาชนรัก ศรัทธาและเชื่อถือ
จุดที่น่าสนใจ “อย่างยิ่งของอย่างยิ่ง” คือ ท่อนข้อความของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ว่า “…มีความจริงอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ นั่นคือ แม้ในการเลือกตั้งทุกครั้ง ‘ผู้ยึดครองอำนาจด้วยวิธีพิเศษ’ จะตั้ง ‘พรรคการเมือง’ ขึ้นมาสู้ ซึ่งแม้จะหาทางได้เปรียบในกลไกการเลือกตั้ง แต่ผลที่ออกมา ‘ฝ่ายอำนาจนิยม’ จะพ่ายแพ้ต่อ ‘ฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม’ ทุกคราว…”
แปลออกมาแบบไม่อ้อมค้อม คือการยอมรับกันตรง ๆ นั่นแหละว่า ชัยชนะ (ที่จริงๆ จะเรียกว่าชนะได้หรือไม่ก็ยังน่ากังขา) ในการเลือกตั้งของพรรคพลังประชารัฐนั้น มาจากการ “เล่นโกง” และอาจจะหมายรวมถึงการแต่งตั้ง 250 ส.ว. มาเป็น “พรรค คสช.” ล่วงหน้าไว้เลือกนายกฯในสภาด้วย
ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เป็นการยอมรับจากฝ่าย “ผู้กระทำการ”เอง ว่าที่ผ่านมานั้น การเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญหลังการรัฐประหาร เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรม เป็นไปโดยมุ่งหวังที่จะสืบทอดอำนาจ
แม้ว่าข้อความนี้ พล.อ.ประวิตรจะไม่ได้เป็นคนเขียนหรือเรียบเรียงพิมพ์เอง แต่ด้วยในตอนท้ายนั้นลงไว้ว่า “…เนื้อหาของจดหมายทุกฉบับที่จะเกิดขึ้น ผ่านการตรวจทานจากผมแล้ว และผมขอรับผิดชอบทุกตัวอักษร…” พร้อมลงชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ดังนั้นถ้าเป็นภาษากฎหมาย ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “กฎหมายปิดปาก” ที่ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาของ พล.อ.ประวิตรเองที่จะมาปฏิเสธภายหลังไม่ได้
ส่วนคำตอบของคำถามที่จดหมายฉบับนี้ตั้งไว้ว่า “ทำไมต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง” นั้น พล.อ. ประวิตรเห็นว่าเป็นเพราะ “…ต้นตอของปัญหาที่สร้างความขัดแย้ง ขยายเป็นความแตกแยก ระหว่าง ‘ฝ่ายอำนาจนิยม’ กับ ‘ฝ่ายเสรีนิยม’ ที่หาจุดลงตัวร่วมกันไม่ได้ เพราะพยายามหาทางให้ฝ่ายตัวเองชนะอย่างเด็ดขาด–ทำลายอีกฝ่ายให้สิ้นสูญ…”
ถ้าเรายอมรับกันได้อย่างที่ พล.อ.ประวิตรออกมาชี้ว่า ความขัดแย้งนี้เกิดจากกลุ่มคนที่แบ่งคร่าวๆ ออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มอิลิท ที่ไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งรวมถึงคนที่เชื่อมั่นในการปกครองโดยอิลิท กับกลุ่มผู้คนที่เชื่อในประชาธิปไตยและกลไกทางการเมืองและนักการเมือง ต้องยอมรับในการบริหารปกครองโดยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว การเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ เป็นการเลือกตั้งที่ต่อสู้กันระหว่างอุดมการณ์ระหว่างคนสองฝั่งสองฝ่ายนี้ที่ชัดเจนที่สุด
เพราะนี่คือการเลือกตั้งหลังจากความขัดแย้งทางความคิดที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 ซึ่งแบ่งแยกผู้คนออกเป็น “คนรุ่นเก่า” กับ “คนรุ่นใหม่” แบ่งคนออกเป็น “เสรีนิยม” กับ “อนุรักษนิยม” เป็น “สลิ่ม” กับ “สามกีบ”
เราแบ่งแยกแตกต่างกันจนอย่าปฏิเสธให้ยากว่าอุดมการณ์สองขั้วนี้ไม่มีจริง
แต่ในระหว่างคนทั้งสองฝั่งสองฝ่ายนี้ ถ้าในทางการเมืองผ่านตัวแทนพรรคการเมืองแล้วก็ยังไม่สู้จะมีเอกภาพมากนัก
ในส่วนของฝ่ายประชาธิปไตยนั้นเคยกล่าวไปแล้ว ว่าก็มีแบ่งเป็นฝ่าย “แดง” คือฝ่ายที่เชื่อมั่นกับพรรคเพื่อไทยที่สืบทอดมาจากพรรคไทยรักไทย กับฝ่าย “ส้ม” ที่เชื่อในแนวทางของพรรคก้าวไกลที่สืบทอดมาจากพรรคอนาคตใหม่
ส่วนฝ่ายอิลิทหรืออนุรักษนิยมเองก็ยิ่งแตกแขนงออกไปอีก มีทั้งเป็นแฟนพันธุ์แท้ของพรรคประชาธิปัตย์ที่เลือกพรรคนี้โดยไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ คนที่อยากให้ประยุทธ์เป็นนายกฯต่อไป แต่งอนที่ทำไมถึงปล่อยให้มีกัญชาขายกันอย่างเสรี (ผมมีคนรู้จักเป็นสายข้าราชการอนุรักษนิยม ผู้ไม่เคยหืออืออะไรกับการบริหารปกครองของรัฐบาลประยุทธ์ ยอมรับได้ เข้าใจ แก้ต่างให้ทุกอย่างมาตลอด 6-7 ปี แต่มาแตกเอาเพราะเรื่องกัญชานี่เอง) ฝ่ายที่เห็นว่าประยุทธ์และรัฐบาลยังไม่เด็ดขาดพอกับเรื่องมาตรา 112 แต่จะให้ไปเลือกพรรคที่มุ่งเป้าเอาจริงในเรื่องนี้แต่ไม่มีศักยภาพพอก็กลัวแพ้คะแนนเสียงตกน้ำ ส่วนพรรคใหญ่ก็ไม่ไว้วางใจว่าจะไปจับมือกับอีกขั้วหรือไม่ ฯลฯ
แม้แต่กับ 250 ส.ว.เอง ที่ก่อนหน้านี้เราเห็นว่าเป็นเอกภาพ ยกมือกันพึ่บพั่บไปในทางเดียวกันหมด ในช่วงปีหลังๆ ก็เริ่มเห็นว่ามีกรณีที่แตกแถวอยู่บ้าง แม้จะแค่ระดับหลักหน่วยก็ตาม และเมื่อมีการ “แยกตัว” ออกไปของแกนนำคณะรัฐประหารออกเป็นสองขั้วเช่นนี้ เรายิ่งไม่แน่ใจว่า ส.ว.ที่แต่งตั้งโดย คสช.นั้น มีสัดส่วนที่ “ใคร” เป็นผู้ควบคุมได้จำนวนเท่าไรกันแน่
ผลของบทเฉพาะกาลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ที่กำหนดให้ 5 ปีแรก นับแต่วันที่มีรัฐสภา
ชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ซึ่งก็คือ ส.ส.รวม ส.ว. 750 เสียง ร่วมกันเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งรัฐสภาชุดนี้เปิดประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 ดังนั้นระยะเวลา 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ จึงจะสิ้นสุดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2567 ดังนั้น ผู้ที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี จำเป็นจะต้องมีเสียงสนับสนุนจากสมาชิก ส.ส.และ ส.ว. รวมกันอย่างไรก็ได้ ให้ได้อย่างน้อย 376 เสียง หรือถ้าจะให้ปลอดภัยจริงๆ ก็ต้องมีคะแนนระดับกันงูเห่าไว้อีกสักราวๆ 20 เสียง คือ 396-400 เสียง
ซึ่งการรวมเสียง ส.ส.ให้ได้ขนาดนั้น จาก ส.ส.ทั้งสภา 500 ที่นั่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช้ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
หนทางที่มีความเป็นไปได้ที่ฝ่ายประชาธิปไตยนั้นจะ “ชนะอย่างเด็ดขาด” นั้นก็พอมีอยู่ นั่นคือ พรรคใหญ่ที่สุดและพรรคลำดับรองของฝ่ายประชาธิปไตย คือ พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ซึ่งจริงๆ แล้ว ผู้สนับสนุนของทั้งสองพรรคนี้ก็เป็นเสียงส่วนใหญ่ของคนฝ่ายประชาธิปไตยทั้งประเทศ “อาจ” จำเป็นต้องวางแผนการลงคะแนนกันอย่างจริงจัง อย่างที่บางคนเรียกว่า “การเลือกตั้งอย่างมียุทธศาสตร์” คือ ในเขตใดที่แน่ใจว่าพรรคใดจะชนะแน่ๆ ให้ผู้ที่ยินดีจะเลือกพรรคเพื่อไทยหรือพรรคก้าวไกล เทคะแนนเลือกผู้สมัครพรรคที่น่าจะมีโอกาสชนะในเขตนั้น
ส่วนระบบบัญชีรายชื่อ ก็เลือกพรรคที่แต่ละคนชอบกันไป เพราะในรอบนี้ คะแนนระบบบัญชีรายชื่อจะถูกจัดสรรตามสัดส่วนที่แต่ละพรรคจะได้รับจริงตามคะแนนเสียงทั้งประเทศแล้ว… ถ้าไม่มีอภินิหารการคิดคะแนนอะไรอีก
ทั้งนี้เพื่อให้เกิด “มหาพสุธากัมปนาท” หรือ super landslide และเมื่อรวมกับพรรคแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตยอื่นๆ แล้ว ก็เพียงพอที่จะสร้างปาฏิหาริย์ให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลและเลือกตัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามจากฝ่ายนี้ได้อย่างเด็ดขาด โดยไม่ต้องสนใจเสียง ส.ว.เลย
เมื่อชนะขาด จัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว ก็รออีกไม่นานที่ ส.ว.ชุดนี้จะพ้นจากตำแหน่งไปตามวาระที่เหลืออีกราว 1 ปี จากนั้นแม้จะมี ส.ว.ที่มาจากการสรรหาจากกลุ่มอาชีพ แต่ถึงอย่างไร ส.ว.จากการสรรหานั้นก็ยังมีความเชื่อมโยงจากประชาชน ก็น่าจะมีความรู้สึกละอายแก่ใจพอที่จะไม่ขัดต่อความต้องการของประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้กลับสู่กติกาที่มีความเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ได้ และนี่คือการทำลายระบอบรัฐประหารที่ยืดเยื้อยาวนานในรอบนี้ให้สิ้นสูญได้ในที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งแบบยุทธศาสตร์นี้ก็เคยมีผู้เสนออยู่หลายครั้งหลายคราว แต่ก็ถูกต่อต้านตลอดมาเช่นกัน ว่าเป็นการดูถูกประชาชนบ้าง ดูถูกพรรคของพวกเขาว่าไม่มีสิทธิชนะบ้าง (เพราะการยอมรับว่าให้เทคะแนนให้อีกพรรคหนึ่งเท่ากับแปลว่ายอมรับว่าพรรคของตัวเองไม่น่าจะชนะในเขตนั้น)
ดังนั้นแนวทางที่จะทำให้เกิด “มหาพสุธากัมปนาท” นี้จึงเป็น “ทฤษฎี” ในกระดาษ ที่พูดง่าย แต่ทำ (โคตร) ยาก
เช่นนี้ ก็ไม่แปลกใจที่ทำไม พล.อ.ประวิตรจึงเสนอแนวทาง “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ซึ่งเขาเองมองว่าเป็นแนวทางที่เป็นไปได้มากที่สุด แต่ก็ขึ้นกับว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” จะพอยอมรับได้หรือไม่ก็เท่านั้นเอง
อนึ่ง มีอีกเรื่องที่ซ่อนอยู่ในรัฐธรรมนูญ ที่หลายท่านอาจจะหลงลืมกันไปแล้ว แต่อาจจะต้องเตือนกันอีกครั้ง เพราะเรื่องนี้ยังมีโอกาสที่จะนำมาใช้ และวาระที่อาจจะได้ใช้นั้นก็ใกล้เข้ามาแล้ว
คือบทเฉพาะกาล มาตรา 272 นอกจากวรรคหนึ่ง ที่ให้ ส.ว.มาร่วมเลือกตัวนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังมีบทบัญญัติในวรรคสอง ที่ให้ ส.ส.และ ส.ว.รวมกันไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง เพื่อให้เสนอชื่อ “นายกฯคนนอก” ที่ไม่อยู่ในรายชื่อนายกรัฐมนตรีที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ก็ได้ด้วย และสามารถที่จะใช้เสียงอีกสองในสามเพื่อรับรองชื่อ “คนนอก” ผู้นั้นให้ลงชิงตำแหน่งนายกฯได้
จะเป็นอย่างไร ถ้า ส.ส.ไม่สามารถรวมตัวกันจนได้เสียงข้างมากเกินกว่า 376 เสียง พอที่จะเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้ และ ส.ว.ทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมด เกิดจะพร้อมใจกัน “งดออกเสียง” จนไม่อาจจะเกิดกรณีที่มีนายกรัฐมนตรีที่ได้รับเสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมรัฐสภาได้
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า เราไม่รู้จริงๆ ว่า ส.ว.ทั้ง 250 คนนี้ มี “สัดส่วน” มาจากไหนอย่างไรบ้าง
และในบรรดาพี่น้อง 3 ป.นี้ ยังมีตัวละครลับอีกตัวหนึ่งที่ยังไม่ได้ออกโรงมาหน้าเวทีเลย
กล้า สมุทวณิช