รื่นร่ม รมเยศ : ผู้อารักขาลึกลับ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

หลายท่านที่สนใจธรรมะธัมโมคงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับคาถาชินบัญชร และหลายท่านคงบอกว่ามิใช่เพียงแต่ได้ยิน หากแต่สวดได้คล่องและสวดเป็นประจำด้วย แต่ก็คงมีจำนวนไม่น้อยถามว่าคาถาชินบัญชรคือคาถาอะไร

ชินบัญชรคืออะไร

ผมจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ แต่จะขอพูดเรื่องเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ให้ฟัง ความศักดิ์สิทธิ์แปลว่าอำนาจที่ทำให้สำเร็จ ทำให้เป็นอัศจรรย์ชนิดที่เราไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เพียงแต่เราพิสูจน์ไม่ได้ด้วยประสาทสัมผัสของเราเท่านั้นเอง

ในพระพุทธศาสนา ท่านนิยมนำเอาพระสูตร (คือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอนบุคคลต่างๆ) มาสวด (โบราณเรียกสังวัธยาย) นอกจากเพื่อรำลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย และเพื่อน้อมนำเอามาปฏิบัติในชีวิตประจำวันแล้ว จุดประสงค์หนึ่งคือ เพื่อป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ด้วย

Advertisement

เพราะฉะนั้น พระสูตรที่นำมาสวดจึงเรียกว่า “ตาณ” ภายหลังเพี้ยนเป็น “ตำนาน” หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “พระปริตร”

ตำนานหรือปริตร ก็แปลว่า “ป้องกันภัย” เหมือนกัน

เวลานิมนต์พระมาสวดมนต์ในงานทำบุญที่บ้านหรือที่ไหนๆ พระท่านก็สวดตำนานหรือปริตร ที่ว่านี้แหละครับ เพื่อคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายให้แก่เรา

Advertisement

ในบรรดาบทสวดเหล่านั้น บางบทก็ “ฮิต” คือนิยมสวดกันมากกว่าบทอื่น อันนี้เป็นไปตามยุคตามสมัย

สมัยก่อนโน้นนิยมสวดอิติปิโส มีทั้งอิติปิโสแปดทิศ อิติปิโสรัตนมาลา อิติปิโสถอยหลัง อีกสมัยหนึ่งนิยมสวดพาหุง แต่สมัยนี้ดูเหมือนจะนิยมสวดชินบัญชร กับคาถาเจ้าแม่กวนอิม

ก็เหมือนเพลงนั่นแหละครับ ฮิตไปตามยุคสมัย ความจริงเปรียบกับเพลงไม่ค่อยถูกนัก เพราะเพลงฮิตพักเดียวก็เงียบหาย แต่บทสวดนี้ฮิตนาน นิยมกันเป็นเวลานานไม่หายไปง่ายๆ

ที่นิยมกันนานก็เพราะสวดมนต์นั้น นอกจากทำให้จิตใจสงบแล้ว ยังมีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ที่เห็นประจักษ์กับตาด้วย ทำให้เลื่อมใสยิ่งๆ ขึ้น ดังผมสวดชินบัญชรประจำ ผมประสบเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นอันตราย แต่ก็หลุดรอดมาได้ดังปาฏิหาริย์ทุกครั้ง สวดบ่อยจนมีความรู้สึกว่า “เทพ” (หรือที่ในวงการเรียกว่า “องค์”) มาคอยพิทักษ์รักษาอยู่ประจำด้วย

ผมมีเรื่องเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง ได้รับฟังมาจากเจ้าตัวท่านโดยตรง ผู้เล่าคืออาจารย์เสถียร พันธรังสี อดีตนักหนังสือพิมพ์ผู้ยิ่งใหญ่และราชบัณฑิตผู้เปรื่องปราชญ์ บัดนี้ท่านละโลกนี้ไปแล้ว

ท่านเล่าว่าสมัยท่านไปเรียนหนังสืออยู่ที่ญี่ปุ่น บังเอิญเกิดสงครามกลับบ้านไม่ได้ ท่านถูกทหารญี่ปุ่น 2 คนจับไป หาว่าเป็นสปายจะนำไปยิงเป้า ท่านว่าเมื่อมองไม่เห็นทางรอดแน่แล้ว ก็ประนมมือไหว้พระสวดคาถาพาหุงไม่รู้กี่จบต่อกี่จบ ภาวนาว่าถ้าลูกช้างยังมีวาสนาบารมีพอที่จะทำประโยชน์แก่ชาติและพระพุทธศาสนาอยู่ ก็ขออย่าเพิ่งให้ตายเลย ขอมีชีวิตอยู่เพื่อทดแทนคุณแผ่นดินพระศาสดาอีกสักหน่อยเถิด อธิษฐานจบ รวบรวมความกล้าพูดกับนายทหารที่จับไปและกำลังจะยิงท่านทิ้งว่า

“ท่านรู้ไหมว่าข้าพเจ้าเป็นคนไทย” ไม่รู้ถามทำไมท่านว่าอย่างนั้น

“รู้ เพราะว่าอย่างนี้สิ ข้าจึงจะยิงแก” นายทหารตะคอกใส่

“ถ้าท่านยิงข้าพเจ้า ท่านจะเสียใจ ประเทศญี่ปุ่นของท่านจะเสียใจ” อาจารย์รวบรวมความกล้าโพล่งออกมา

“เสียใจเรื่องอะไรวะ”

เมื่อได้จังหวะ อาจารย์ก็สาธยายว่า “ข้าพเจ้าเป็นนักศึกษาปริญญาโท เรียนเรื่องศาสนาและวัฒนธรรมของญี่ปุ่น ข้าพเจ้าก่อนมาประเทศของท่านนี้เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง (โม้ไปงั้นเองท่านว่า) ข้าพเจ้าได้เขียนเรื่องบูชิโด ได้เผยแพร่ความดีวิเศษของประเทศท่าน ทั้งขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของท่านให้คนไทยได้รู้จักและได้ชื่นชม พูดได้ว่าคนไทยได้ทราบความยิ่งใหญ่ของแดนอาทิตย์อุทัยก็เพราะฝีมือของข้าพเจ้า

“ถ้าจักรพรรดิของท่านทรงทราบว่า ผู้ที่ทำประโยชน์ สร้างเกียรติคุณให้แก่ประเทศชาติของท่านเช่นข้าพเจ้า ถูกทหารของท่านสังหารเช่นนี้ พระองค์จะทรงพิโรธขนาดไหน” อาจารย์ท่านตบท้าย

เป็นไงเป็นกันวะ ท่านเล่าอย่างนั้น

ทหารสองคนได้ยินดังนั้น มันหันไปมองหน้ากันสักพักหนึ่ง แล้วพยักหน้าหงึกแล้วก็ปล่อยท่านไป

ท่านเล่าว่าเท่ากับตายแล้วเกิดใหม่อย่างปาฏิหาริย์ ที่หลุดรอดชีวิตมาได้นี้มิใช่เพราะอะไรอื่น เพราะความศักดิ์สิทธิ์แห่งคาถาพาหุงที่ท่านสวดเป็นประจำนั่นเอง

คาถาพาหุงเป็นบทสวดที่มีความยาว 12 บรรทัด แต่งเป็นฉันทลักษณ์บาลี 9 บท ประมวลชัยชนะต่อศัตรูผู้คิดร้ายขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 8 เหตุการณ์ ด้วยกัน เช่น ชนะพญามารพร้อมทั้งกองทัพ ชนะองคุลิมาลโจรผู้ดุร้าย ชนะช้างตกมันที่วิ่งรี่เข้ามาเพื่อเหยียบขยี้ให้ตาย เป็นต้น

ใครสวดประจำแล้วย่อมคลาดแคล้วจากภยันตราย ประสบสิริมงคลสวัสดิ์พิพัฒน มงคลจริง ดังกรณีอาจารย์เสถียร พันธรังสีที่เล่ามา

เสฐียรพงษ์ วรรณปก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image