ผู้เขียน | แล ดิลกวิทยรัตน์ |
---|
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐนั้นผันแปรเปลี่ยนไปตามเหตุและปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาเกี่ยวของในแต่ละยุคแต่ละสมัย
สุดแท้แต่ว่าใคร คณะใดจะมาเป็นผู้นำ และความเป็นไปของการเมืองระหว่างประเทศ
ดังคำพูดที่ว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร
โดยเฉพาะในทางการเมืองระหว่างประเทศ
ที่แท้และถาวรกว่าคือความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนด้วยกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนและเอเปคก็เช่นกัน
ในยุคหนึ่งก็เป็นมิตร แล้วกลับมาเป็นศัตรู
แล้วก็ค่อยๆคลายกลายมาเป็นมิตร เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป
ดังเช่นการคลี่คลายของฐานะประเทศในกลุ่มอาเซียนเองที่เมื่อแรกตั้งนั้นก็เพื่อต่อต้านประเทศที่มีแนวโน้มจะสมาทานลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างรัสเซีย จีน ในระดับโลก และเวียดนาม ลาว อินโดนีเซียในระดับภูมิภาค
ผู้ที่มีบทบาทอย่างมากในกลุ่มนี้จากทางฝ่ายไทยเองก็คือคนที่ใกล้ชิดกับอเมริกาและมีบทบาทอันยาวนานในการต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่าง ดร.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีต่างประเทศ
ที่ครองตำแหน่งยาวนานในรัฐบาลทหารจาก ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึง ยุคจอมพลถนอม กิตติขจร
ทุกวันนี้ประเทศที่ถูกต่อต้านจากการจัดตั้งกลุ่มต้นทางของอาเซียนกลายมาเป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในอาเซียนอย่างเวียดนาม
แถมยังเป็นประเทศที่เติบโตเร็วในทางเศรษฐกิจเป็นอันดับสองของโลกรองจากจีน
พร้อมกันนั้นกลุ่มอาเซียนก็กลายเป็นกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นตลาดการค้าระหว่างกันไม่แพ้ตลาดใดในโลก
ในท่ามกลางการเติบโตของการค้าและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันขึ้นเรื่อยๆในระดับประเทศต่อประเทศ รัฐต่อรัฐนี้
ประชาชนได้อะไรบ้าง?
การขยายตัวของการลงทุนระหว่างกันอย่างรวดเร็วนั้นชาวไร่ชาวนา กรรมกรในโรงงานและแรงงานนอกระบบที่วิ่งขายแรงงานเพื่อต่อลมหายใจได้อะไรบ้าง?
เช่นเดียวแม่ค้าหาบเร่ตามแผง วินมอร์เตอร์ไซค์รับจ้าง คนงานนอกระบบเหล่านี้มีรายได้ดี มีงานมั่นคงพอจะเลี้ยงลูกจนจบการศึกษาหางานทำได้มากน้อยแค่ไหน?
หรือว่าได้กันแค่กำไรและเงินปันผลของบริษัทที่ไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่ต้นทุนต่ำเพื่อหากำไรตอบแทนบริษัทและผู้ถือหุ้นให้สูงขึ้นเท่านั้น?
ถ้าจะพูดถึงความสัมพันธ์ของประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน จากมุมมองของประชาชนคนไทย ความสัมพันธ์ที่น่าสนใจที่สุดเห็นจะไม่พ้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเวียดนาม
ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐ และผู้คนทั้งสองประเทศ
จะว่าไปสำหรับความสัมพันธ์ของสองประเทศนี้ไม่แต่เพียงรัฐบาลต่อรัฐบาลเท่านั้น แต่เป็นความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างผู้นำสูงสุดด้วย
ตัวอย่างล่าสุดเห็นจะเป็นดังการที่เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
เหงวียน ฝู จ่อง และ ประธานาธิบดี เหงวียน ซวน ฟุก จะเยือนไทยในการประชุมเอเปคในช่วงกลางเดือนนี้
ท่านทั้งสองได้เคยมาเยือนไทยพร้อมคณะรวมทั้งในคราวที่มาทำข้อตกลงทำหุ้นส่วนยุทธศาสตร์กับรัฐบาลไทยเมื่อปี 2556 แล้ว
อาจกล่าวได้ว่าการเยือนในครั้งนั้นและอีกหลายครั้งต่อมานับเป็นพื้นฐานที่มั่นคงของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ยั่งยืนมาแต่บัดนั้น
สำหรับชาวไทยแล้ว เรารู้จักคนญวน เมืองญวน ชาวอันนัม เจ้าอานามก๊ก จนมาถึงพุทธศาสนาอนัมนิกาย มาแต่ไหนแต่ไร
ดังที่รับรู้กันมานานว่าคนไทยกับคนญวนนั้นผูกพันธ์และเป็นซึ่งกันและกันมายาวนาน ไม่ว่าจะโดยสายเลือด ประเพณี ภาษา หรือวัฒนธรรม
เราผูกพันกันเป็นชุมชนญวนตั้งแต่ญวนจันทบูร ญวนสามเสน ญวนบางโพ ญวนนางเลิ้งไปถึงญวนเมืองกาญจน์ อันเป็นที่มาของสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่แล้ว
คนรุ่นผมยังเคยนอนเปลยวนและจำเพลงกล่อมเด็กที่ร้องว่า “กวางเอ๊ยกวาง กะย่อห่อกวาง ญวนบางโพมาสวดนะโมไล่กวาง…ญวนบางกะปิกินน้ำกระทิกับข้าวตัง…”
คนไทยจึงเป็นซึ่งกันและกันกับคนญวนตั้งแต่เมืองญวนยังไม่ใช้ชื่อประเทศเวียดนาม
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนทั้งสองประเทศจึงมีมายาวนานนับร้อยปี
อย่างน้อยที่สุดก็ไม่น้อยกว่าอายุราชธานีปัจจุบันคือกรุงเทพมหานครฯนี่แหละ
ไม่ใช่เพิ่งมาสัมพันธ์กันเมื่อปี 2519 หรือ 47 ปีมานี้เอง
แถมไม่เคยขัดแย้ง แต่อยู่กันอย่างกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวมาตลอด
มาเจ็บเนื้อเจ็บตัวบอบช้ำบ้างก็เมื่อรัฐเปลี่ยนนโยบายไปตามการเมืองระหว่างประเทศหรือคณะผู้นำในระยะสั้นๆไม่ว่าจะเป็นยุคราชาธิปไตยหรือประชาธิปไตย
บัดนี้ความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศอยู่ในยุคที่นับได้ว่าดีที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา ดังที่เรียกกันว่า “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” นั้น
คำถามจึงมีว่า ความใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลในระดับที่ถือได้ว่า “อย่างไม่เคยมีมาก่อน” นี้ ได้ส่งประโยชน์ตกทอดลงไปถึงระดับประชาชนในอัตราเดียวกันหรือไม่?
ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม หรือการศึกษา
ถ้าจะพูดให้จำเพาะเจาะจงลงไป คงต้องตั้งคำถามเอากับรัฐบาลทั้งสองประเทศว่า นอกจากธุรกิจไทยจะไปลงทุนแสวงหากำไรจากค่าแรงราคาถูกและสิทธิพิเศษด้านภาษีอากรตลอดจนตลาดที่กว้างกว่าประเทศไทยแล้ว
ธุรกิจไทยให้อะไรที่ยั่งยืนกับกรรมกรลูกจ้างเวียดนามบ้าง?
การเปิดตลาดแรงงานไทยให้ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเพิ่งจะมาเปิดให้เวียดนามในภายหลังนั้นกว้างและสะดวกพอที่จะจูงใจให้แรงงานเวียดนามได้งานทำในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับชาติอื่นๆที่มาก่อนแค่ไหน?
สำหรับด้านวัฒนธรรม การศึกษา และภาษานั้น รัฐบาลทั้งสองได้พยายามอย่างเพียงพอหรือยังที่จะให้ทุนการศึกษาแก่กัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจภาษาและวัฒนธรรมต่อกันให้ลึกซึ่งกว่าที่เป็น
ทั้งๆที่เรามีต้นทุนพื้นฐานต่อกันมากกว่าญี่ปุ่นและเกาหลี แต่กลับมีความพยายามที่จะเรียนภาษาทั้งสองมากกว่าจะนึกถึงภาษาเวียดนาม
จะว่าไปไม่ใช่แค่จะหวังให้รัฐบาลไทยให้ทุนกับเวียดนามแต่อย่างเดียวเพราะการศึกษาของเวียดนามไม่ได้น้อยหน้ากว่าไทย
จากการจัดลำดับล่าสุดพบว่า มหาวิทยาลัยที่อยู่ในลำดับคุณภาพสูงกว่ามหาวิทยาลัยดีที่สุดของไทยมีถึงสองมหาวิทยาลัย
นี่ยังไม่ต้องเทียบกับงานบางอย่างเช่นการล่ามภาษาไทยของฝ่ายเวียดนามนั้นเหนือชั้นกว่าฝ่ายไทยที่พูดภาษาเวียดนามมาก
ดังนั้นจึงต้องถามว่าถึงเวลาหรือยังที่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนระหว่างรัฐและรัฐบาลนั้น
จะสะท้อนถ่ายอย่างเป็นรูปธรรมไปสู่ประชาชนของประเทศทั้งสอง
อย่างน้อยก็เพื่อเป็นฐานรากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มั่นคงและยั่งยืนตลอดไป
กรุงเทพฯ
7 พฤศจิกายน 65