ผู้เขียน | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร |
---|
สถานีคิดเลขที่ 12 : ขั้วเสรีนิยม ‘แข็ง’ มี ‘อ่อน’
กระแส กลุ่มพรรคแนวเสรีนิยม ที่เหนือกว่า กลุ่มพรรคแนวกระแสอนุรักษนิยม ตามผลโพลนั้น
อาจทำให้ ฝ่ายต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศ สบายใจได้ระดับหนึ่ง
แต่ก็คงจะวางใจอะไรไม่ได้เลย
ด้วยเพราะสถานการณ์มากด้วยความแปรปรวน
ในฝ่ายที่ดูเหนือกว่า อย่างปีกของพรรคเพื่อไทย และก้าวไกล ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง ยิ่งกลายเป็นคู่แข่ง คู่ขัดแย้งกันโดยตรง
จนถึงขนาดว่า ทั้ง 2 พรรคอาจไม่สามารถร่วมทำงานกันได้
ด้วยพรรคก้าวไกล ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยเงื่อนไข แข็งโป๊ก จนไม่อาจ “งอ” เป็นตะขอไปเกี่ยวสัมพันธ์กับเพื่อไทยได้
ขณะที่เพื่อไทย ก็ดูเหมือนจะมากด้วยข้อผ่อนปรน จนถึงขนาด อาจจะยื่นมือ ข้ามขั้วไปผูกมิตรกับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อที่จะไปยึดกุมอำนาจบริหารในฐานะรัฐบาลหน้าให้ได้
ภาวะเช่นนี้เอง ทำให้กระแสกลุ่มพรรคแนวเสรีนิยม ที่ว่าเหนือกว่า ฝ่ายอนุรักษนิยม อาจจะไม่มีมรรคผลอะไร
ตรงกันข้าม หลังการเลือกตั้ง ขั้วเสรีนิยมและอนุรักษ์ อาจจะหลอมละลาย กลายเป็นขั้วการเมืองแบบไทยๆ ที่มารวมตัวกันตามผลประโยชน์ที่ต่อรองกันก็ได้
ส่วนฝ่ายที่ไม่อาจ “อ่อนตัว” ก็ไปทำหน้าที่ฝ่ายค้านไป
ซึ่งนั่นเป็นฉากทัศน์ที่เราอาจเห็นหลังวันเลือกตั้งที่ 14 พฤษภาคม
แต่ในเฉพาะหน้านี้ ปีกอนุรักษ์ ที่ดูเหมือนเป็น “รอง” นั้น โดยเฉพาะพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงพึงใจกับภาวะไม่เป็นเอกภาพของขั้วเสรีนิยมอยู่ไม่น้อย
เพราะยิ่งพรรคเพื่อไทยขัดแย้งกับพรรคก้าวไกลมากและร้าวลึกมากเพียงใด ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตนเอง
ขณะเดียวกัน ตอนนี้ก็คงพยายามรักษา “ระยะห่าง” กับพรรคพลังประชารัฐเอาไว้ต่อไป เพราะยิ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ชูธง ก้าวข้ามความขัดแย้ง มากเพียงใด
การจับจ้องของผู้คนก็เทไปอยู่ที่ความสัมพันธ์ ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคพลังประชารัฐ ว่าจะมี “ดีลลับ” อะไรระหว่างกัน
ยิ่งมากด้วยความสงสัย ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นต่อพรรคเพื่อไทย ลดน้อยลงเท่านั้น
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะฟื้นสัมพันธ์ ระหว่างพี่น้อง 2 ป. กลับมาในขณะนี้ เพราะต่างคนต่างเดิน เป็นประโยชน์มากกว่า
เอาไว้เมื่อสถานการณ์ได้เสียกันจริงๆ ดีเอ็นเอ ของพี่น้อง 2 ป.ก็สามารถต่อเชื่อมกันได้ไม่ยาก
ดังนั้น ในท่ามกลางกระแสที่เชื่อว่า ปีกเสรีนิยม มีคะแนนนิยม เหนือปีกอนุรักษ์ นั้น
สิ่งที่ปีกอนุรักษนิยม อยากจะเห็น ก็คือ ความแตกแยกในขั้วเสรีนิยม
ซึ่งตอนนี้ ก็เริ่มเห็นแล้ว และนับวันคงจะชัดเจนขึ้น ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
คงยากที่ฝ่ายเชียร์ขั้วเสรีนิยม จะเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยและก้าวไกล มีไมตรีต่อกัน
เพราะในเวทีการเลือกตั้ง ควรจะเป็นการแข็งขันกันอย่างเต็มที่เพื่อจะโน้มน้าวใจให้ประชาชนเทคะแนนเสียงให้ ไม่ควรฮั้ว หรือแอบจับมือกัน
ให้เสียงประชาชนเป็นเสียงตัดสินจะดีที่สุด
หากประชาชนเทคะแนนให้ขั้วเสรีนิยมมากๆ พรรคการเมืองในขั้วนี้ก็ควรคำนึงและให้น้ำหนักต่อเสียงประชาชนว่าการที่ตัดสินใจเช่นนั้น ประชาชนต้องการอะไร
นี่เป็นหลักการพื้นๆ ที่ควรจะยึดถือกัน
แม้ว่าหลายคนจะขัดใจ
ที่ขั้วเสรีนิยม ซึ่ง “แข็ง” ในความนิยม
แต่มา “อ่อน” เกิดขัดแย้งกัน
จนอาจเปิดช่องให้ขั้วอนุรักษนิยมพลิกกลับมายึดครองอำนาจต่อไป
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องยอมรับถ้าเป็นการแข่งขันอย่างเสรีเป็นธรรม
เว้นแต่จะมีการใช้วิธีการ “นอกระบบ” เพื่อช่วงชิงชัยชนะ –นั่นก็ต้องว่ากันยาวๆ อีกที