เปิดผลสอบกรมวิทย์ คดีเมาขับ ดร.เหมียว ปี 65 อ้างฉีดแอลกอฮอล์เครื่องเป่า ส่งฟ้อง 10 พ.ค.

เปิดผลสอบกรมวิทย์ คดีเมาขับ ดร.เหมียว ปี 65 อ้างฉีดแอลกอฮอล์เครื่องเป่า ส่งฟ้อง 10 พ.ค.

วันที่ 2 พฤษภาคม จากกรณี ดร.เหมียว อายุ 51 ปี อดีตผู้บริหารบริษัทเอกชนชื่อดัง ก ถูกจับกุมเมาแล้วขับ ทำร้ายร่างกายและต่อสู้ขัดขวางถีบหน้า พ.ต.ท.ดาราธร ขจรศิลป์ รองผกก. 5 บก.จร. ระหว่างนำตัวขึ้นรถส่งดำเนินคดีที่ สน.ประเวศ

เหตุเกิดที่ด่านตรวจวัดแอลกอฮอลล์บริเวณถนนเลียบมอเตอร์เวย์ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง เมื่อช่วงกลางคืนวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา โดยถูกแจ้ง 3 ข้อหา เมาแล้วขับ ทำร้ายร่างกายและต่อสู้ขัดขวางขณะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้า ก่อนยื่นประกันตัวออกไป

จากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาเคยถูกจับดำเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 65 เวลา 22.00 น. โดยการจับกุมดังกล่าวเป็นการจับกุมในพื้นที่ใกล้กับจุดเกิดเหตุครั้งนี้ และตำรวจที่เป็นผู้จับกุมเป็นตำรวจจาก กก. 5 บก.จร.เช่นเดียวกัน แต่ผู้ต้องหายืนยันไม่เคยถูกจับมาก่อน ซึ่งต่อมาพล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.ได้สั่งการให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว

Advertisement

ความคืบหน้า รายงานว่าคดีที่ดร.เหมียว ถูกจับเมาขับ เมื่อปี65 นั้น ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ได้ 69 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ เกินกว่ากฎหมายกำหนด ชุดจับกุม กก.5 บก.จร.นำผู้ต้องหาส่งให้พนักงานสอบสวน สน.ประเวศ (ยศร.ต.อ.ขณะนั้น)ดำเนินคดี และ น.ส.มนธ์สินี ให้การปฏิเสธข้อหา ยืนยันว่าไม่ได้เมา ที่วัดปริมาณแอลกอฮอล์ ได้ 69 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ เพราะใช้สเปรย์แอลกอฮอลล์ฉีดฆ่าเชื้อโควิดทั้งมือและช้อนส้อม รวมไปถึงฉีดใส่ที่เครื่องเป่าวัดบริมาณแอลกอฮอล์ ให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจให้ได้ว่าตนดื่มเหล้ามาถึงจะยอมรับผิด

ต่อมาเจ้าของคดียศร้อยตำรวจเอก(ร.ต.อ.)โยกย้ายไปขึ้นตำแหน่งสารวัตร(พ.ต.ต.)พนักงานสอบสวน ที่สน.นางเลิ้ง โผแต่งตั้งระดับรองสว.ถึงรองผกก.ที่ผ่านมา ส่วนสำนวนเมาขับน.ส.มนธิ์สินีอยู่ที่สน.ประเวศ ไม่มีพนักงานสอบสวนคนไหนรับผิดชอบ และยังไม่มีการนำผู้ต้องหาไปส่งฟ้องศาลแต่อย่างใด

พ.ต.อ.สุรพงษ์ พุฒขาว ผกก.สน.ประเวศ เปิดเผย ว่า สำหรับคดีเมาแล้วขับ เมื่อปี 2565 นั้น ล่าสุด ได้นัดให้ผู้ต้องหามาพบพ งานส อบสวนวันที่ 10 พ.ค. 67 นี้ เพื่อนำตัวส่งฟ้องศาล

Advertisement

โดยคดีนี้มีการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอ ได้ 69 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แต่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธว่า ตอนนั้น เป็นช่วงโควิด-19 ระบาด จึงมีการ ใช้สเปรย์แอลกอฮอล์ฉีดภาชนะต่างๆ โดยหลังจากนั้นผลการตรวจโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้แจ้งกลับมา ซึ่งผลดังกล่าว ไม่สามารถบอกโดยละเอียดได้

แต่บอกได้ว่า ใช้เป็นพยานหลักฐานที่ทำให้พนักงานสอบสวนยังคงใช้แจ้งข้อกล่าวหาเมาแล้วขับกับผู้ต้องหาได้อยู่ สำหรับประเด็นที่สำนวนคดีนี้ ยังไมได้มีการส่งฟ้อง เนื่องจากพนักงานสอบสวนในขณะนั้นได้มีการย้ายไปก่อน

พ.ต.อ.สุรพงษ์ กล่าวอีกว่า พนักงานสอบสวนได้ทำสำนวนเสร็จสิ้นแล้ว แต่ย้ายไปก่อนโดยไม่ได้นัดผู้ต้องหามาส่งฟ้อง และไม่มีใครมาตรวจสอบ ทำให้คดียังค้างอยู่แต่พอเกิดเหตุการณ์ล่าสุดขึ้น ก็ได้ตราจสอบคดีย้อนหลังในระบบ พบว่ามีคดีอยู่ จึงรีบสั่งสำนวนมาดำเนินการนัดส่งฟ้อง

อย่างไรก็ตามล่าสุด ผู้บังคับบัญชาระดับนครบาล สั่งการให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว ว่าเป็นความบกพร่องของใคร โดยต้องสอบสวนทั้งหมด ทั้งพนักงานสอบสวน และผู้บังคับบัญชา ผู้กำกับการ เป็นการตรวจสอบทั้งระบบ ส่วนคดีทำร้ายร่างกาย ตอนนื้อยู่ในขั้นตอนของการรวบรวมพยานหลักฐาน หากพยานหลักฐานครบ ก็สามารถสรูปสํานวนส่งฟ้องได้เลย โดยต้องทำภายในเวลา 30 วัน หลังจากเกิดเหตุจะทำให้เร็วที่สุด

ขณะที่พนักงานสอบสวนที่ทำคดี ในข้อหาเมาแล้วขับเมื่อปี 65 ซึ่งพบว่าขณะนี้ มียศพันตำรวจตรี อยู่ที่สน นางเลิ้ง คือ พ.ต.ต.ศิวนนท์ สงนุ้ย พนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง เปิดเผยว่า วันที่ตำรวจจรสจราจรกลาง นำตัวผู้ต้องหามาให้ตนทำบันทึกจับกุม คือวันที่ 17 สิงหาคม 65

ตนได้อธิบายถึงขั้นตอนและข้อหาที่จะดำเนินคดี แต่ผู้ต้องหาปฏิเสธว่าไม่ได้เมา โดยบอกว่าปริมาณแอลกอฮอล์ขึ้นสูงเพราะเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ปนเปื้อนกัแอลกอฮอล์ที่ฉีดเพื่อฆ่าเชื้อ ซิ่งตนก็ได้เอาแอลกอฮอล์ของผู้ต้องหา ที่บอกว่าใช้ฉีดใส่เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ส่งไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อความเป็นธรรม และคืนนั้นก็อนุญาตให้ประกันตัว

โดยในใบสัญญาประกันได้ระบุไว้แนบท้ายผู้ต้องหาจะต้องมาพบกับพนักงานสอบสวนก็คือตนเองที่สน.ประเวศ ในวันที่ 19 สิงหาคม 65 เวลา 8.30 น. เพื่อตนจะได้นำตัวผู้ต้องหาไปผัดฟ้องฝากขังตามขั้นตอนของกฎหมาย ในกรณีที่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ

ทั้งนี้จากการสังเกต โดยส่วนตัวตนเห็นว่าผู้ต้องหามีอาการเหมือนกับคนเมาสุรา แต่วันที่ 19 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันนัด ผู้ต้องหาไม่ได้มาพบกับตน ทำให้ตนไม่สามารถนำผู้ต้องหาไปผลัดฟ้องที่ศาลจังหวัดพระโขนงได้ และตนก็ไม่ได้ติดต่อกับผู้ต้องหาอีก เนื่องจากต้องรวบรวมหลักฐานทางคดี และรอผลการตรวจแอลกอฮอล์ที่ผู้ต้องหาบอกว่าใช้ฉีด ใส่เครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์ จนทำให้ค่าแอลกอฮอล์ขึ้นสูง จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

โดยวันที่ 14 พฤศจิกายน ตนได้ทำหนังสือไปที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อทวงถามถึงผลการตรวจแอลกอฮอล์ของกลาง ที่ส่งไป และหลังจากนั้นประมาณ 3 สัปดาห์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงส่งผลการตรวจแอลกอฮฮล์ที่ผู้ต้องหาใช้มาให้กับตน จนต้นเดือนมกราคมปี 66 ตนได้สรุปสำนวนเรียบร้อย แต่ช่วงกลางเดือนมกราคม ตนติดภารกิจอบรมจึงยังไม่ได้ส่งฟ้องผู้ต้องหา

จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ตนถูกคำสั่งย้ายให้ไปปฏิบัติราชการที่อื่น ทำให้สำนวนจึงยังคงอยู่ที่ สน.ประเวศ แต่ตนก็ได้มอบสำนวน จึงทำให้ไม่ได้ส่งฟ้องผู้ต้องหา แต่ก็ได้ส่งสำนวนให้กับทางโรงพัก เพื่อให้ผู้บังคับบัญชา มอบหมายให้ พนักงานสอบสวนรายอื่น รับช่วงต่อตามขั้นตอนแล้ว

จนกระทั่งมาทราบข่าวว่าจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการส่งฟ้องอดีตซีอีโอรายนี้ ทั้งที่ตนสำนวนเสร็จ แล้ว ยอมรับว่าตกใจ โดยหลังจากนี้ตนจะต้องไปให้ข้อมูลกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงใน คดีนี้เช่นกัน

ทั้งนี้ ตนขอชี้แจงถึงประเด็นหลังผู้ต้องหาได้มาออกรายการโหนกระแส และบอกว่า ตนได้โทรศัพท์ไปหาหลังจากที่ผู้ต้องหาถูกจับผ่านไป 3 สัปดาห์ และบอกว่าไม่ต้องมาพบตำรวจแล้ว เรื่องมันจบแล้ว ขอยืนยันว่าตนไม่เคยโทรศัพท์ไปบอกผู้ต้องหาอย่างที่ผู้ต้องหาให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด

พล.ต.ต.ธนันท์ธร รัตนสิทธิภาคย์ ผบก.น.4 กล่าวว่า คดีของอดีตCEOสาว รายนี้ ต้องแยกเป็นสองส่วน คือ คดีล่าสุดแบ่งเป็น 2 คดีคือ คดีทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน ขัดขืนเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และคดีเมาแล้วขับ

โดยคดีทำร้ายร่างกายถือเป็นการกระทำที่ไม่ถึงแก่กาย(ไม่ได้รับบาดเจ็บ)​แต่จากการให้สัมภาษณ์ ของผู้ต้องหากับสื่อมวลชนยอมรับว่าได้ถีบใบหน้าจริง แต่มีหมวกกันน็อคกั้นไว้ รองผกก.จราจร เป็นผู้เสียหายไม่ติดใจ แต่ติดใจคำพูดที่ดูถูกลูกน้องเท่านั้น

ส่วนกรณีเมาแล้วขับพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ 104 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ตรงนี้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามขั้นตอน อยู่ระหว่างการพิมพ์ลายนิ้วมือ และรวบรวมพยานหลักฐาน และจะมีการส่งฟ้องในภายหลัง

ส่วนคดีเก่าข้อหาเมาแล้วขับ เมื่อวันที่ 17 ส.ค.65 เบื้องต้น จากการตรวจสอบพบว่า ยังไม่มีการสั่งฟ้องถือว่าเป็นความบกพร่องของพนักงานสอบสวนคนเก่าที่อยู่ สน.ประเวศ แต่ปัจจุปันย้ายไปอีก สน.หนึ่ง(สน.นางเลิ้ง)​ซึ่งอยู่คนละกองบังคับการกัน

ตนเองต้องทำหนังสือรายงานส่งไปกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เพราะอยู่นอกอำนาจ บก.น.4 จึงต้องให้ ผบช.น. เป็นผู้พิจารณาสั่งการและตรวจสอบว่าการทำสำนวนไม่เรียยร้อย ทางผู้บังคับบัญชาก็จะตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย

ส่วนการที่พนักงานสอบสวนคนดังกล่าวอ้างว่าทำสำนวนเสร็จเรียบร้อยก่อนโยกย้ายไป สน.แห่งใหม่ เป็นสิ่งที่ตัวพนักงานสอบสวนพูด จะพูดอย่างไรก็ได้ แต่เบื้องต้น จากการตรวจสอบพบว่าสำนวนคดีไม่เรียบร้อยจริง และในวันเกิดเหตุ ผู้ต้องหาได้เป่าแอลกอฮอล์อยู่ 69 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แต่ตัวผู้ต้องหาปฎิเสธว่าได้มีการฉีดแอลกอฮอล์ บริเวณแขนลำตัว และเครื่องเป่า ทำให้แอลกอฮอล์ที่ตรวจวัดได้ ไม่ได้เกิดจากการดื่มกิน จึงร้องขอให้พนักงานสอบสวนส่ง แอลกอฮอล์ไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ก่อนจะได้รับผลตอบกลับมาว่าไม่เกี่ยวกันเลย

ผบก.น.4 กล่าวว่า สำหรับคดีที่ไม่เรียบร้อยและไม่ส่งฟ้องนั้น ขณะนี้ได้ประสานตัวอดีต CEO สาว ซึ่งเป็นผู้ต้องหา ว่าจะมีการนำไปส่งฟ้องในวันที่ 10 พ.ค. 67 นี้ ส่วนเรื่องความไม่เรียบร้อยของสำนวนคดีถือว่ามีความผิดพลาด ส่วนจะพิจารณาอย่างไรก็ขึ้นอยู่คณะกรรมการตรวจสอบ พร้อมกับยืนยันว่าไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องกับสำนวนแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องเล็ก

แต่อาจเป็นเพราะพนักงานสอบสวนประมาท หรือขี้เกียจ ส่วนที่มีข้อบกพร่องแต่กลับได้เลื่อนชั้นยศ มองว่าไม่เหมาะสมนั้น มองว่าในตอนนั้นต้นสังกัดไม่รู้เรื่องและเพิ่งมารู้ และเมื่อรู้แล้วก็ได้มีการลงโทษ ส่วนระยะเวลาที่ส่งสำนวนสั่งฟ้องล่าช้านานกว่า 2 ป​ีนั้น ถือว่าไม่เป็นอุปสรรคในการนำตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องแต่อย่างใด พร้อมกันนี้ได้ขอฝากไปยังประชาชนเมาแล้วอย่าขับ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นว่า หลายคดีมีถึงขั้นตำรวจเสียชีวิต ซึ่ง ส่วนตัวไม่ห่วงเรื่องการปฎิบัติหน้าที่ของตำรวจแต่เป็นห่วงประชาชนมากกว่า ที่จะได้รับความเดือดร้อนทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image