ผู้เขียน | สมหมาย ปาริจฉัตต์ |
---|
การเตรียมการปรับหลักเกณฑ์และแนวทางการรับนักเรียน โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชั้น ม.1 และ ม.4 กลายเป็นประเด็นปัญหาขึ้นมาอย่างไม่น่าเกิด
ทั้งๆ ที่สาระหลักเป็นการให้โรงเรียนและเขตพื้นที่การศึกษาฯร่วมกันกำหนดพื้นที่บริการของโรงเรียนให้ชัดเจน ไม่ทับซ้อนกัน เป็นการเตรียมการสำหรับรับนักเรียนปีการศึกษาหน้า 2562 ซึ่งเหลือเวลาอีกนานหลายเดือนกว่าจะปฏิบัติจริง
แต่เกิดมีข่าวออกมาว่าจะให้ทุกโรงเรียนรับนักเรียนในเขตพื้นที่บริการ 100% โดยไม่มีการสอบคัดเลือก เท่านั้นแหละ เกิดเรื่องร้อนฉ่าขึ้นมาทันที
ผู้บริหารโรงเรียนเด่นดังพากันคัดค้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าจะกระทบคุณภาพการศึกษาทำให้โรงเรียนยิ่งมีคุณภาพตกต่ำลง เพราะได้ตัวป้อนคุณภาพต่ำ เด็กไม่เก่ง ไปฉุดเด็กเก่ง นั่นเอง
ร้อนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและนายกรัฐมนตรี พากันปฏิเสธว่าไม่ใช่เป็นนโยบายของรัฐบาล เรื่องอยู่ระหว่างการหารือยังไม่ได้ข้อสรุป ไม่ควรให้ข่าวออกมาก่อน
ฝ่ายปฏิบัติการเลยกลับหลังหัน 360 องศา หยุดหรือชะลอการทบทวนเขตพื้นที่บริการใหม่ทันที ซึ่งไม่ควรแข็งตัวถึงขั้นนั้น
ถ้าแนวคิดรับนักเรียนในเขตพื้นที่บริการ 100% เจตนารมณ์เพื่อให้เด็กมีโอกาสเรียนโรงเรียนดีใกล้บ้าน ไม่ต้องสอบคัดเลือก ลดปัญหาการวิ่งเต้น เส้นสาย ใช้เงิน ใช้อิทธิพลทุจริตต่างๆ นานา อีกทั้งเกิดจากดำริของนายกรัฐมนตรีที่ให้คิดหาวิธีลดการสอบลง
เมื่อมีเหตุผลที่มา ที่ไป ก็น่าจะต่อสู้ พูดคุย อภิปรายกันด้วยเหตุด้วยผลอีกสักระยะหนึ่งก่อน เหตุผลของฝ่ายไหน มีน้ำหนักมากกว่า ไม่ใช่หยุดลงเสียดื้อๆ เพราะเหตุใด ใครๆ ก็คิดออก
ว่าไปแล้ว ปัญหาการรับนักเรียน ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ประถม 1 มัธยมศึกษาปีที่ 1 มัธยมศึกษาปีที่ 4 ประเด็นไม่ได้มีแค่ นโยบายการรับควรเป็นอย่างไรเท่านั้น แต่มีประเด็นเรื่องกระบวนการ ด้วย ควรมีกระบวนการกำหนดนโยบายอย่างไรถึงจะเหมาะสมกว่า
ไม่ใช่เป็นการกำหนดนโยบายฝ่ายเดียวจากผู้รับหรือผู้จัดการศึกษาเป็นหลัก แต่ต้องเป็นนโยบายสาธารณะ แบบมีส่วนร่วมอย่างจริงจังของผู้มีส่วนได้เสียในสังคมทุกฝ่าย โดยเฉพาะครอบครัว พ่อแม่ ผู้ปกครอง เพราะรับผลกระทบโดยตรง
โดยพิจารณาถึงรากของปัญหาที่เกิดจากคุณภาพ มาตรฐานโรงเรียนไม่ทัดเทียมกัน และค่านิยมของพ่อแม่ผู้ปกครองจนถึงเด็ก ต้องการเข้าโรงเรียนเด่นดัง มีชื่อเสียง
คิดในเชิงอุดมคติ การรับนักเรียนไม่ว่าระดับชั้นใดก็ตาม ไม่ควรมีการสอบแข่งขันใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นการวัดในช่วงสั้นๆ ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง การสอบแข่งขันทำให้นักเรียนมุ่งไปกับการกวดวิชาเพื่อสอบให้ได้ และเป็นช่องทางทำให้เกิดการทุจริตต่างๆ นานา ตั้งแต่ซื้อขายข้อสอบ รับจ้างสอบแทนกัน จนถึงเรียกรับเงินกินเปล่า แป๊ะเจี๊ยะจากคนสอบไม่ได้แต่อยากเข้าเรียน
แต่ในเมื่อความเป็นจริง ตราบใดที่ยังไม่สามารถทำให้คุณภาพมาตรฐานโรงเรียนส่วนใหญ่ทัดเทียมกันได้ การสอบวัดความรู้ ความสามารถ วัดแววความถนัด ความมุ่งมั่นพยายาม ยังเป็นเครื่องมือเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ให้โอกาสกับทุกคนที่เข้าสู่สนามการแข่งขันเท่าเทียมกัน
กรณีปัญหาที่เกิดขึ้น เมื่อต้องการเน้นคุณภาพการศึกษาเป็นหลัก ทางออก คือปรับความคิดและวิธีการใหม่ เอาการสอบที่เป็นธรรม เป็นเกณฑ์ตัดสิน
ให้โรงเรียนยอดนิยมที่มีการแข่งขันสูง โรงเรียนประจำจังหวัด รับนักเรียนโดยการสอบแข่งขัน
100 % เขตพื้นที่บริการของโรงเรียนเหล่านี้ก็คือทั้งประเทศ ใครสะดวก จะสอบเข้าโรงเรียนไหน ในจังหวัด ข้ามจังหวัด ใกล้บ้าน ไกลบ้าน เมื่อสอบได้แล้ว จะเดินทาง กินอยู่อย่างไร รับผิดชอบจัดการแก้ไขปัญหากันเอง
ส่วนโรงเรียนที่เหลือใช้นโยบายเดิม กำหนดเขตพื้นที่บริการ รับ 100% โดยไม่ต้องสอบ โรงเรียนเหล่านั้นจะเป็นที่รองรับนักเรียนที่ผ่านการแข่งขันจากการสอบมาแล้วแต่เข้าไม่ได้ให้มีที่เรียนไม่เคว้งคว้าง หากคุณภาพไม่เป็นที่พอใจก็ไปดิ้นรนหาโรงเรียนเอกชนเรียน
หรือโรงเรียนในเขตพื้นที่บริการอื่นที่นักเรียนยังไม่เต็ม ซึ่งต้องรับผิดชอบเรื่องการเดินทางเอง ขณะเดียวกันรัฐเร่งนโยบายบริการรถโรงเรียนให้จริงจัง
พร้อมกันนี้ ต้องเร่งผลักดันนโยบายยกระดับคุณภาพมาตรฐานโรงเรียนระดับรองให้สูงขึ้นโดยเร็ว ให้ความสำคัญกับโรงเรียนที่เด็กไม่อยากเข้ามากกว่าโรงเรียนยอดนิยมที่ช่วยตัวเองได้แล้ว เมื่อโรงเรียนระดับรองพัฒนาขึ้นต่อไปก็ใช้วิธีการสอบเข้า 100%
และเร่งเครื่องมาตรการ โรงเรียนคู่พัฒนา โรงเรียนแม่เหล็ก โรงเรียนประชารัฐ โรงเรียนนิติบุคคล ให้เป็นจริง ช่องว่างทางคุณภาพของโรงเรียนก็จะแคบลง
ปัญหาการรับนักเรียนด้วยการสอบ หรือ รับ 100% ไม่ต้องสอบ ก็จะลดความตึงเครียดลง เข้าโรงเรียนไหนก็ได้เพราะคุณภาพมาตรฐานไม่ต่างกัน
สรุป การกำหนดนโยบายรับนักเรียนต้องเป็นนโยบายสาธารณะ ให้สังคม พ่อแม่ ผู้ปกครอง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ชุมชน แม้กระทั่งเด็ก มีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็นและนำไปสู่ปฏิบัติจริงด้วย ไม่ใช่เป็นเพียงแค่พิธีกรรม เท่านั้น