ความเข้าใจในธรรมชาติของสรรพสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมะ” มีนมนานแล้ว ยิ่งในสมัยโบราณการที่ชีวิตสัมผัสแนบแน่นกับธรรมชาติแทบเป็นหนึ่งเดียว
อาหารการกิน ข้าวของเครื่องใช้ หยูกยารักษาอาการป่วยไข้ เพิงพักกันลมกันแดดกันฝนอาศัยจากธรรมชาติรอบตัวรอบกาย
ชีวิตเช่นนี้ง่ายที่จะเข้าถึง เข้าใจการทำงานของธรรมชาติ
เพียงแต่ในช่วงหลังมนุษย์คิดค้นอะไรต่ออะไรขึ้นมามากมาย ต่อยอดข้าวของเครื่องใช้ หยูกยา ที่อยู่อาศัยให้วิจิตรพิสดารไปเรื่อยๆ หลายสิ่งหลายอย่างห่างไกลจากประโยชน์เบื้องต้นพื้นฐานไปไกล
เรามีเครื่องนุ่งห่มที่เน้นความสวยงามทันสมัย ทำให้ดูดีมาแทนการให้ความอบอุ่น มีบ้านที่มุ่งไปที่การแสดงฐานะความเหนือกว่าแทนการอาศัยกันฝนกันแดด คิดค้นเภสัชกรรมที่สนองความสวยงานแทนช่วยรักษาความป่วยไข้
การเติมคุณค่าสินค้าแต่ละอย่างให้มากกว่าประโยชน์พื้นฐานขึ้นไปเรื่อยๆ เป็น “ความคิดสร้างสรรค์” ซึ่งเป็นที่นิยมของคนในยุคสมัยนี้
เมื่อเป็นอย่างนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่การเห็น การเข้าใจกลไกของธรรมชาติจะทำได้ยากขึ้น เพราะมีมายาของประดิษฐกรรมและการให้ความหมายของคุณค่ามาเป็นเปลือกที่หนาขึ้นเรื่อยๆ บดบังไว้แก่นแกนของกลไกธรรมชาติที่หากใครฝึกฝนการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องได้จะทำให้ชีวิตราบรื่น ไม่ติดขัด จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากขึ้น
แต่ยากไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ เพียงแค่อาจจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้น และที่สำคัญคือเรียนรู้วิธีการที่จะเปิดใจรับฟังประสบการณ์การเรียนรู้ธรรมชาติที่สะสมไว้ ถ่ายทอดกันมา
การ “เปิดใจ” รับฟังเรียนรู้เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด ทำอย่างไรจะเกิดขึ้นได้ ทำอย่างไรให้ใจได้สัมผัสความเป็นจริงแท้ ไม่อาบทา พอกไว้ด้วยมายาคติ
ทุกข้อมูลที่สื่อถึงกัน
ทันทีที่เผยแพร่ออกมา จะมีส่วนผสมของ “ข้อมูลดิบ” หรือความเป็นจริง บวกกับความคิดความเห็น “ทัศนคติของผู้เผยแพร่”
ทัศนคติที่จะผสมมาในรูปแบบต่างๆ กัน บางครั้งอำพรางในรูปแบบต่างๆ บางครั้งบอกให้รู้ชัดเจน
เมื่อเข้ารู้คนฟัง คนอ่าน หรือคนดู จะถูกกรองด้วยทิศนคติของผู้รับ รับเฉพาะที่ทัศนคติเปิดให้รับ จากนั้นจะเอาข้อมูลที่รับไว้นั้นมาผสมทัศนคติของตัวเองปรุงแต่งเก็บไว้
เมื่อถึงเวลาที่ต้องถ่ายทอดต่อ จะเผยแพร่ไปตามเรื่องที่ปรุงแต่งแล้วนั้น
เป็นเช่นนี้เป็นทอดๆ กันไป
เมื่อหลายทอด หลายคราวเข้า เรื่องราวความเป็นจริงเดิมจะลดลงเรื่อยๆ หลายเรื่องราวกระทั่งเค้าโครงยังเกิดจากการปรุงแต่งต่อๆ กันมา อย่าไปว่าถึงความเป็นจริงแท้ๆ ที่แทบไม่เหลืออยู่แม้เศษเสี้ยวเลย
เพราะเหตุอย่างนี้ การเรียนรู้กลไกของธรรมชาติที่สืบทอดกันมาแต่กาลเก่าก่อนจึงยากขึ้น ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการเข้าถึง
ทว่ายากไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้
ยังมีเรื่องราวที่ไม่ได้ฉาบทาทัศนคติ หรือฉาบทาแต่บางๆ พอชวนให้น่าสนใจให้เรียนรู้ กระจายไปที่ตามสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ การบันทึกเสียง บันทึกภาพ ภาพเคลื่อนไหว หรือผสมผสาน หรือกระทั่งในบางคน ในพระบางรูปที่ก้าวพ้นมายาเหล่านั้นไป
ช่องทางเผยแพร่เข้าถึงได้ไม่ยาก โดยเฉพาะในโลกออนไลน์มีอยู่มากมาย
ปัญหาอยู่ที่ “ใจของเราเองว่าอยู่ในสภาวะที่เรียกหาความเป็นจริงของกลไกลธรรมชาติ หรืออยู่ในสภาวะต้องการเสพมายาคติด้วยความเชื่อว่าเป็นความสุข”