จิตวิวัฒน์ : ที่ทางของคุณบนโลกนี้ : A Life at Work (2) : โดย ญาดา สันติสุขสกุล

“Soul” (วิญญาณ) คือสิ่งที่ทำให้คุณไม่เหมือนใคร ทำให้คุณสำนึกว่าคุณคือใคร รวมถึงเชื่อมโยงความสามัญกับความลึกซึ้ง เช่น ความรู้สึกลึกๆ ของคุณต่อเรื่องต่างๆ รอบตัว ความคิดลึกซึ้งที่คุณให้เวลาใคร่ครวญ ความผูกพันลึกซึ้งที่คุณเปิดใจรับรู้ สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในสถานการณ์ชีวิตที่สามัญธรรมดา

ในแง่ความหมายของชีวิต ตัวคุณจึงผูกโยงเข้ากับความสุข-ความทุกข์ มีขาขึ้น-มีขาลง มีพบ-มีพราก เป็นจังหวะที่คุณเชื่อมโยงและมีปฏิสัมพันธ์ต่อโลก คือสัญญาณบ่งบอกว่าคุณยังมีชีวิตอยู่ แต่บางครั้งคนเรามีช่วงที่ติดยึดกับบางเรื่อง บางนิสัย จึงทำให้เกิด “จังหวะชีวิตที่สะดุด” เข้าสู่ช่วงชะงักงัน ความสัมพันธ์หยุดนิ่ง จิตวิญญาณเริ่มหลงทิศหลงทาง ร่างกายไร้ชีวิตชีวา ซึ่งอาจเป็นสาเหตุลึกๆ ของความไม่พอใจ

สภาพแวดล้อมของสังคมที่อยู่รอบตัวคุณว่าย่อมมีผลกับคุณไม่มากก็น้อย ถึงแม้วิญญาณจะสนองตอบต่อความเป็นปัจเจกที่คุณจะไม่เหมือนใคร แต่ถ้าคุณคิดเหมือนที่สังคมทั่วไปคิดกัน คุณอาจจะวิ่งไล่ล่ารางวัล ชื่อเสียง และเงินทอง ตามระบบความเชื่อที่สังคมยึดถือว่าเป็นความสำเร็จ หากคุณต้องการเดินตามเสียงเพรียกภายใน จำเป็นที่คุณต้องผลักตัวเองออกจากการรายรอบด้วยเสียงสังคม การแยกตัวออกจากกลุ่มคนที่คุณเคยสัมพันธ์หรือเป็นส่วนหนึ่งอาจเป็นเรื่องยาก แต่สุดท้ายคุณจะค้นพบเนื้อนาอันอุดมสมบรูณ์ และเมื่อมันเผยตัวออกแล้ว คุณจะค้นพบศักยภาพที่โดดเด่นในแบบของคุณเอง

“จิตวิญญาณ” (Spirit) ค่อนข้างจะต่างจากวิญญาณ คือประสบการณ์ที่สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง รวมมุมมองที่คุณมีต่อโลก ความละเอียดอ่อนทางจริยธรรม ความคิดเกี่ยวกับชีวิตและความตาย ความเชื่อ ความปรารถนา รวมถึงพัฒนาการทางปัญญา เป็นทั้งการเติบโต การผจญภัย การทดลอง ความก้าวหน้า และการค้นพบ จึงถูกนำไปใช้กับบริบทต่างๆ เช่น จิตวิญญาณขององค์กร เส้นทางการพัฒนาจิตวิญญาณ มิติทางจิตวิญญาณจึงดำเนินไปสู่การก้าวหน้า ตรงข้ามกับวิญญาณที่ชื่นชมความเก่าแก่ อดีต ความทรงจำ และความเงียบสงบ แต่ทั้งจิตวิญญาณและวิญญาณต่างเชื่อมโยงกันในตัวเรา และมีมุมที่ต่างกันไป

Advertisement

คุณอาจจะมีมุมมองต่อชีวิตและอุดมการณ์ที่อยากไปถึง แต่งานที่คุณทำกลับไม่เอื้อ เช่น คุณอยากช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก แต่คุณทำงานอยู่ในบริษัทใหญ่และให้คุณค่ากับการเลื่อนขั้นไปสู่ตำแหน่งที่มีรายได้สูงๆ เวลาที่คุณจะให้แก่จิตวิญญาณที่ปรารถนาจึงถูกละเลย เมื่อจิตวิญญาณถูกกดทับอยู่ในชีวิตเรียบง่ายธรรมดา มันอาจโผล่ออกมาเป็นความก้าวร้าว

หลายคนโกรธที่จิตวิญญาณของเขาถูกกักขังไว้ เลยกลายเป็นคนก้าวร้าว บางทีแสดงออกน้อยๆ แต่บางคนแสดงออกแบบรุนแรงจนน่าเศร้า

ปรองดองกับอดีต
“เมื่อเราย้อนกลับมาเพ่งมองชีวิตของเรา จะพบความทรงจำที่เป็นความเจ็บปวด คล้ายกับเป็นทรัพยากรของการเล่นแร่แปรธาตุแห่งชีวิต และการนึกถึงคนที่เคยขัดขวางเรา ซึ่งที่จริงแล้วเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้เราเดินไปบนเส้นทางของเราเอง เรื่องเลวร้ายมีน้ำหนักพอๆ กับเรื่องดีๆ”

Advertisement

ถึงแม้น้ำหนักของอดีตที่เราแบกไว้ จะสร้างความลำบากใจให้เราอยู่ช่วงหนึ่ง บางครั้งสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตก็อยู่ที่เดิมของมัน บางครั้งก็เดินมาหาเราในปัจจุบัน คอยหลอกหลอนเราได้เสมอ อดีตคือตัวตนที่เราเคยเป็น หากเรากล้าเอาชนะอดีต ทุ่มเทกายลงมือทำอย่างมีหรือไม่มีทิศทาง นั่นคือการมุ่งมั่นเพื่อความก้าวหน้าและปิดประตูใส่อดีตไว้ชั่วคราว โดยค่อยๆ รื้อความผิดพลาดในอดีตมาต่อเติมใหม่ในปัจจุบัน

การที่เราผ่านแต่ละจุดมาได้ ทำให้เรามีความรู้เพิ่มขึ้น และจะไม่ทำให้เราเดินตกหลุมพรางเดิมๆ อีก

เรามี “ของ” ให้เล่น คุณไม่ต้องเข้าไปในอนาคตที่ยังว่างเปล่าด้วยมือเปล่า
เมื่อเรารู้จักความเพลิดเพลินนี้ มีใจที่พร้อมจะเล่นแร่แปรธาตุและลงมือทำอย่างสร้างสรรค์ โดยที่ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำจะนำพาเราไปถึงจุดไหน ธรรมชาติรอบๆ จะเอื้อให้เราพบเจอสิ่งต่างๆ อีกมากมายเอง

“จิตวิญญาณนั้นแรงกล้าและแน่วแน่ แต่อาจพ่ายแพ้ต่อแรงกดดันหรือถูกสังเวยให้กับจุดมุ่งหมายที่เน้นวัตถุนิยม แถมยังแฝงตัวอยู่ในอาการต่างๆ ที่คุณอาจไม่เคยคิดฝัน เช่น ความกราดเกรี้ยวต่อลูก การละเลยบ้านช่อง การชอบถากถาง ชอบวิจารณ์เกินเหตุ การโอดครวญ รวมถึงการถอนตัวหรือเพิกเฉยต่อชีวิต”

สิ่งที่ไม่ควรทำกับอดีต
คุณไม่ควรเริ่มด้วย “การกล่าวโทษ” และยกให้คนอื่นเป็นต้นเหตุของความผิดพลาด คุณลองนึกดูดีๆ ว่าการถอดใจต่อวิกฤตและโอกาสต่างๆ ที่วิ่งเข้ามาในชีวิต เป็นการเลือกของคุณเอง ไม่เกี่ยวกับสิ่งภายนอกหรือผู้คนที่อยู่รอบตัวคุณเลย การกล่าวโทษคือกลไกการปกป้องใจของคุณจากภัยแห่งความเป็นจริง ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงกับการเผชิญหน้ากับตัวเองและตัวเลือกที่มี การพูดว่า พ่อแม่ไม่เข้าใจสิ่งที่คุณปรารถนานั่นคือเรื่องหนึ่ง แต่เราสืบค้นปูมหลังของพ่อที่อาจจะทำให้พอเข้าใจความแตกต่างระหว่างตัวคุณกับพ่อได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะอดีตไม่ใช่ปัญหาที่มีไว้แก้ไข แต่เป็นความลับของคุณ เป็นเรื่องราวอันซับซ้อนที่แสดงให้เห็นว่า “คุณเป็นใครและชีวิตคุณมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร”

การวิเคราะห์ตนเองเพื่อพัฒนาเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่มีวันจบสิ้น และต่างกับการแก้ปัญหาอย่างสิ้นเชิง เพราะการแก้ปัญหาต้องการความลงตัวและทำให้จบ โดยทั่วไปคนในสังคมมักมองว่าตนเองและชีวิตมีปัญหา จึงเกิดนิสัยที่จะอธิบายทุกอย่างและพยายามทำให้ชีวิตของตนเองดีขึ้น ในงานบำบัดคนที่เดินเข้ามาปรึกษา ปัญหาจะนำพาเขาให้เจอการหยั่งลงลึกในเรื่องราวต่างๆ มากกว่าคำตอบสำเร็จรูป และการเล่าออกมาจะมอบหนทางสะสางอารมณ์ความรู้สึกที่คั่งค้างอยู่ในใจออกไป

ขอให้ลองมองสิ่งที่ผ่านเข้ามาในอดีตของคุณทั้งดีและร้าย ดั่งการนำมาผสานเพื่อหาจุดลงตัวทางความคิด เมื่อคุณย่างเข้าไปในอนาคตด้วยการใส่ใจต่อสิ่งที่คุณได้เคยเรียนรู้มา “คุณจะไม่ต้องเข้าไปในอนาคตด้วยความว่างเปล่า”

ขั้นตอนเริ่มต้นที่ดีในการมองหาการงานแห่งชีวิต
ขั้นตอนที่เงียบ คุณรับรู้ทุกความว้าวุ่น ถามหาว่าคุณเป็นใคร รู้ว่าคุณมาจากไหน คุณเริ่มรู้จักตัวเอง รู้จักโลกมากกว่าที่เคยรู้จัก บรรพบุรุษกับพ่อแม่ของคุณเป็นอย่างไร ขณะนี้ในใจกำลังปั่นป่วนต่อความรู้สึกแบบไหน อะไรคือสิ่งที่คุณปรารถนา สิ่งที่คุณกลัว ความรู้เหล่านั้นช่วยให้คุณก้าวเข้าสู่อนาคต และขยับเข้าหาชีวิตจริงมากขึ้น มันคือกระบวนการเข้าหาแก่นพลังชีวิตของคุณ ครุ่นคิดต่อประสบการณ์ที่ผ่านมา คุณอาจจะพร้อมรับมือกับความโกลาหลแล้ว ถ้าไม่มีความปั่นป่วนในชีวิต คุณอาจจะมีความสุขแบบผิวเผิน ไม่มีแรงกระตุ้นให้คิดถึงความปรารถนาลึกๆ ที่จะมีการงานแห่งชีวิต มันอาจจะกวนใจคุณอยู่บ้าง แต่เป็นสิ่งที่ดี

เมื่อคุณเริ่มมองเห็นและยอมรับว่ามีความไร้ระเบียบเกิดขึ้นแล้ว ขอให้รู้ว่าความวุ่นวายคือความเป็นไปได้ล้วนๆ ในกรณีการบำบัด พวกเขาจะเข้ามาในสภาพปั่นป่วนสับสน มากกว่าจะมาบอกว่าต้องการเข้ารับการบำบัด เพราะทุกอย่างเป็นระเบียบและชีวิตเป็นไปตามคาด พวกเขาเกิดแรงจูงใจให้หันมาดูแลจิตวิญญาณจริงจังก็เพราะรู้สึกถึงความวุ่นวายใจ เป็นอารมณ์ที่ยังไม่ลงตัว

หาภาชนะดีๆ
คุณรับมือกับความปั่นป่วนในชีวิตการงานที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างไร วิธีร่วมสมัยที่เหมือนนักเล่นแร่แปรธาตุทำคือ นำทุกอย่างทั้งดีและไม่ดีใส่ลงในภาชนะรองรับความโกลาหลในชีวิตของคุณ เช่น มิตรภาพ ครอบครัว ชุมชน สโมสร สมุดบันทึก มันคือวิถีแห่งเรื่องเล่า ซึ่งคุณจะกลายเป็นความสนุกได้ คนเราชอบเล่าเรื่องและฟังเรื่องเล่า ธาตุของความเพลิดเพลินเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อคุณเริ่มลงลึกเข้าสู่กระบวนการสำรวจรากเหง้าและค้นหาการงานแห่งชีวิต

ระหว่างเล่า เรื่องราวของคุณจะแสดงให้เห็นว่า ความอลหม่านในชีวิตไม่ได้เป็นแค่กลุ่มก้อนของสิ่งที่ระบุไม่ได้ แต่ประกอบด้วยสิ่งต่างๆ เช่น ใครบางคนที่มีความสำคัญ บางเหตุการณ์ที่มีความหมายมากกว่าเหตุการณ์อื่น ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยหายไป ถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญมาก

ญาดา สันติสุขสกุล
www.thaissf.org, twitter.com/jitwiwat
สนับสนุนโดย มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image