ผู้เขียน | ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ |
---|
ในฌานสูตรมีพระพุทธพจน์ว่าอาสวะสิ้นไปเพราะอาศัยฌานทั้งหลาย
ฌานเป็นปัจจัยของการบรรลุธรรม ทว่าทำไมพราหมณ์โบราณที่เป็นฤๅษีดาบสและเจริญฌานในสมัยก่อนพุทธกาลจึงไม่สามารถเห็นอริยธรรมได้เลย
ทำไมกิเลสหรืออาสวะของผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นจึงไม่อาจสิ้นไปและทำอย่างไรผู้มีฌานจึงจะเห็นสภาวะความเป็นจริงแห่งอริยสัจจนถ่ายถอนอาสวะให้หมดสิ้นได้
การเพ่งของฌานแบบพุทธและฌานแบบอัญญเดียรถีย์นั้นแตกต่างกันมาก ฤๅษีดาบสเพ่งสัญญาไม่ว่าสัญญานั้นจะเป็นรูปหรืออรูปทั้งนี้เพื่อให้จิตดิ่งเข้าสู่ความสงบนิ่งหรือเข้าสู่อารมณ์แห่งอัตตา
ในขณะที่การเพ่งแบบพุทธเป็นการเพ่งเพื่อเข้าใจสภาวะ มีการเจริญสติอย่างมีสัมปชัญญะ การเดินมรรคเป็นไปเพื่อเห็นและรู้แจ้งในไตรลักษณ์ มิได้มุ่งสู่อัตตาซึ่งไม่มีจริง
พระพุทธองค์ตรัสว่า “การเพ่งแบบม้ากระจอก” และ “การเพ่งแบบม้าอาชาไนย” นั้นแตกต่างกัน ในการเพ่งแบบม้าอาชาไนย เมื่อเพ่งผู้ที่ถูกจองจำก็จะเห็นการจองจำ เมื่อเพ่งคนที่เสื่อมจะเห็นความเสื่อม เมื่อเพ่งโทษจะเห็นความเป็นโทษ
ม้ากระจอกเป็นม้าที่ทื่อ ม้าอาชาไนยเป็นม้าที่ฉลาดรู้ทาง
ผู้มีฌานสามารถมีดวงตาที่เห็นปรากฏการณ์ทางจิต เพียงแต่จะเห็นสิ่งที่ถูกเห็นอย่างไร
หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ได้บรรยายธรรมตอนหนึ่งว่าข้อปฏิบัติเป็นของที่มีอยู่ทุกเมื่อ กล่าวคือเป็น “อกาลิโก” ท่านยกตัวอย่างพราหมณ์มานพ 16 ท่านซึ่งพระพุทธองค์ทรงสอนให้พิจารณาเห็นแจ้งด้วยปัญญาทั้งขั้นต่ำ ขั้นกลางและขั้นสูงจนสิ้นสงสัย
พราหมณ์คณะนี้เป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรีและเป็นฤๅษีสอนไตรเพทและจิตตภาวนาริมฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ได้เดินทางไปทูลถามพระพุทธเจ้าถึงแนวทางหลุดพ้นซึ่งเรียกกันว่า “โสฬสปัญหา”
เมื่อประมาณปี 2539 ท่านพระอาจารย์ หลวงปู่หลอด ปโมทิโต ได้เมตตาหยิบหาหนังสือขนาดหนาเล่มหนึ่งยื่นให้ผู้เขียนโดยมิได้กล่าวคำใดๆ หนังสือเล่มนั้นชื่อ “โสฬสปัญหา” สมเด็จพระญาณสังวรฯ อดีตสมเด็จพระสังฆราชได้ทรงบรรยายไว้
เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ให้อรรถาธิบายในรายละเอียด ส่วนในพระสูตรโดยตรงสามารถหาศึกษาความลึกซึ้งเฉียบคมได้ในปารายนวรรค
วิสัชนาของพระพุทธองค์ที่มีต่อคำถามของพราหมณ์ฤๅษีคณะนี้มีความสำคัญทีเดียว เช่นท่านหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ผู้นำคณะได้ถามเรื่องนิมิตที่พราหมณ์พาวรีฝากไว้ซึ่งเกี่ยวกับที่สุดของวัฏฏะ (อชิตะ) ท่านหนึ่งถามสภาวจิตในภาพรวม (ภัทราวุธ) 3 ท่านถามเกี่ยวกับรูปฌาน (โตเทยยะ อุทัยและปิงคิยะ) และอีก 2 ท่านถามเกี่ยวกับอรูปฌาน (อุปสีวะและโปสาละ)
พระพุทธองค์ทรงตอบอชิตพราหมณ์ว่าอวิชชาเป็นศีรษะ วิชชาทำให้ศีรษะตกไป โลกถูกหุ้มห่อด้วยอวิชชาและถูกฉาบทาด้วยตัณหา สติเป็นเครื่องกั้นกระแสในโลก ปัญญาเป็นเครื่องปิดกระแส นามรูปดับเพราะวิญญาณดับ สติและปัญญาจะดับไปด้วย ณ ที่นั้น
ทรงตอบภัทราวุธว่านรชนควรทำลายเครื่องยึดมั่นทั้งปวง ทั้งขั้นต่ำ ขั้นกลางและขั้นสูง (เช่นภพขั้นกามภพ รูปภพและอรูปภพ) มารติดตามสัตว์ก็เพราะสิ่งที่สัตว์ยึดมั่นนั้น
ทรงตอบโตเทยยะว่าผู้หลุดพ้นคือผู้ที่ไม่มีกามทั้งหลาย ไม่มีตัณหาและข้ามพ้นความสงสัย
ทรงตอบอุทัยว่าโลกประกอบด้วยความเพลิดเพลิน ต้องละตัณหาให้ได้เด็ดขาดแล้วจึงสามารถกล่าวถึงนิพพาน บุคคลที่ไม่เพลิดเพลินในเวทนาทั้งภายในและภายนอก วิญญาณจึงดับ การหลุดพ้นที่บริสุทธิ์ต้องอาศัยอุเบกขาและสติที่มีธรรมเครื่องพ้นสำหรับทำลายอวิชชา
ทรงตอบปิงคิยมหาฤๅษีว่าชนทั้งหลายเดือดร้อนและประมาทเพราะรูป พึงละรูปให้ได้ มนุษย์ถูกตัณหาครอบงำจิต เกิดความเร่าร้อน ถูกชราครอบงำ เพื่อที่จะละชาติชราให้เพ่งพิจารณาตัณหาที่ครอบงำจิต ให้ละตัณหาเพื่อไม่ให้เกิดอีก
ทรงตอบอุปสีวะว่าจงมีสติ เพ่งพิจารณาอารมณ์ของอากิญจัญญายตนะ จงละกามทั้งหลาย งดเว้นความสงสัยทั้งหลาย พิจารณาดูความสิ้นตัณหา บุคคลที่ปราศจากราคะในกามทั้งปวงให้ละสมาบัติอื่นแล้วอาศัยอากิญจัญญายตนสมาบัติน้อมใจไปในคุณธรรมชั้นสูง ไม่หวั่นไหว ดำรงอยู่ในพรหมโลกแล้วย่อมดับไป
ทรงตอบโปสาละว่าสำหรับผู้ที่ไม่มีรูปสัญญาแล้ว ละรูปกายได้ทั้งหมดและถึงซึ่งอากิญฯ เมื่อรู้เหตุของอากิญฯ รู้อรูปราคะว่ามีความเพลิดเพลินผูกไว้ ให้ออกจากสมาบัตินั้นและเห็นแจ้งธรรมที่เกิดขึ้นในสมาบัตินั้น
โดยรวมแล้ว ผู้ที่ไม่มีฌาน ผู้ที่มีรูปฌานและผู้มีอรูปฌานเมื่อปฏิบัติให้ถูกต้องตามแนวทางแล้วจะสามารถเห็นธรรมและบรรลุธรรมได้ดังที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ บรรยายไว้
สำหรับผู้ที่มีรูปฌานมักออกจากฌานสี่แล้วเจริญสติปัฏฐาน 4 และโพชฌงค์ 7 ตามสภาวจิต
สำหรับผู้ที่สำเร็จอรูปสมาบัติมีการให้ใช้อากิญฯ เป็นฐานการพิจารณา ประเด็นนี้ก็นับว่าน่าสนใจเพราะอากิญฯ มีอรูปสัญญาที่ละเอียดมาก เป็นอารมณ์ของความไม่มีของอรูปวิญญาณ แต่เนื่องจากยังมีอารมณ์หรือสัญญาจึงสามารถพิจารณาให้รู้แจ้งในสภาวะและเหตุแห่งสภาวะนั้นได้ว่าไม่เที่ยงและไม่ใช่ตนหรือของตน
อย่างไรก็ตาม เนวสัญญานาสัญญายตนะมิได้มีการกล่าวถึงในโสฬสปัญหา เนวสัญญาฯ มีสัญญาที่ละเอียดจนเหมือนไม่มีสัญญาจึงเชื่อว่ายากจะทำได้
ในอนุปทสูตร มีเนื้อหาว่าผู้ที่สามารถเจริญวิปัสสนาในเนวสัญญาฯ มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้น ในพระสูตรนี้มีกล่าวถึงการบรรลุอรหัตตผลของพระสารีบุตรซึ่งเจริญเนวสัญญาฯ และสัญญาเวทยิตนิโรธก่อนบรรลุธรรม
ส่วนอรรถกถามีความเห็นว่าพระสารีบุตรเจริญวิปัสสนาในเนวสัญญาฯ ได้เพราะสามารถเจริญสมถะและวิปัสสนาพร้อมกันในสมาบัติชั้นนี้
ในฌานสูตร พระพุทธองค์ตรัสเกี่ยวกับฌานทุกขั้นที่พระภิกษุเจริญวิปัสสนาต่อได้ ในรูปฌานให้พิจารณาขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ในอรูปฌานจนถึงอากิญฯ ก็ให้พิจารณานามขันธ์ 4 ที่มีอยู่ในฌานนั้นๆ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ฯลฯ
ส่วนเนวสัญญาฯ และสัญญาเวทยิตนิโรธยังเป็นอายตนะและอาศัยกัน มีสัญญาสมาบัติเพียงใดก็ตรัสให้สัญญาปฏิเวธเพียงนั้น
การเจริญวิปัสสนาในฌานเป็นอกาลิโก ผู้มีฌานสามารถอาศัยความคล่องในฌานและวิปัสสนาก้าวตรงไปให้ถึงฝั่งได้ทุกขณะ ไม่จำเป็นต้องเลือกยามเลือกเวลา
ผู้ปฏิบัติยังต้องละกามราคะและสลัดออกซึ่งความยึดถือในภพของฌาน เงื่อนไขเหล่านี้เป็นสังโยชน์ที่ทำให้การเจริญวิปัสสนาในฌานของพราหมณ์มานพส่งผลต่อการบรรลุธรรมอย่างรวดเร็ว
การอยู่ในฌานต้องมีสติรับรู้ จิตตื่นหรือมิได้หลับ สติจะกั้นกระแสทางอายตนะ ดวงตาภายในยังสามารถเห็นปรากฏการณ์ทางจิตได้หากไม่เกาะสัญญาอย่างทื่อๆ การเกาะสัญญาแบบม้ากระจอกจะทำให้ดวงตาของฌานถูกบดบังเพราะมุ่งแต่เพ่งสัญญาที่กำหนดไว้หรือผุดขึ้นมา
ในการสังเกตปรากฏการณ์ทางจิต เมื่อเกาะสัญญาถึงระดับที่จิตสงบระงับแล้วอาจจะสร้างโอกาสของการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ สัญญาที่จิตจำไว้อาจเกิดขึ้นและดวงตาอาจเห็นสัญญานั้นในจิต
สัญญามีประโยชน์ในขั้นสมาธิภาวนา ในคิริมานนทสูตร สัญญาที่พุทธสาวกใช้มีอนิจจสัญญา อสุภสัญญา ปหานสัญญา วิราคสัญญา อานาปานสติเป็นต้น ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการละ สัญญาจึงมีประเภทที่ควรเจริญให้จิตเห็นตามความเป็นจริงด้วย
การเจริญวิปัสสนาในฌานเป็นการพิจารณาธรรมที่ใกล้จิตนอกสำนึก จิตจะรับรู้และจดจำไว้ อุบายปัญญาจะมีผลต่อจิตผ่านสัญญาที่ใช้ ความเข้าใจของจิตที่มีมากขึ้นๆ และอาจทำให้ปัญญาผุดขึ้นเมื่อจิตสงบ
จุดสำคัญคือการแยกแยะระหว่างสัญญาและปัญญา ความสามารถในการแยกแยะอยู่ที่ความเข้าใจของจิตด้วย ผู้ปฏิบัติจึงต้องอาศัยประสบการณ์เฉพาะตน
สัญญาและปัญญาต่างเป็นสมมุติ แต่สัญญาที่มีนั้นอาจมิใช่ปัญญา สัญญาเป็นเครื่องยึด ปัญญาเป็นเครื่องละ ถึงเห็นก็สักแต่เห็น ไม่ตามเห็นแบบฌานทั่วไป
ฌานของพระอริยสาวกและฤๅษีดาบสจึงแตกต่างกันอย่างยิ่ง
หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ เคยกล่าวถึงความสงบ 2 แบบ แบบหนึ่งเป็นความสงบจากความคิดที่นำโลภะ โทสะและโมหะเข้ามา อีกแบบหนึ่งเป็นความสงบที่เข้ามาอยู่กับสติและปัญญา
หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก กล่าวถึงความเป็นปัจจัยของฌานว่าสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง ความสงบจะทำให้รู้ความจริงนี้ได้ เมื่อสำรวมอินทรีย์เป็นหนึ่งเดียวฌานก็จะเกิดขึ้นและเป็นบาทของวิปัสสนา
ผู้มีฌานมีความสงบซึ่งอาจเว้นจากกิเลสได้ในขณะที่สงบ แต่ก็จะเพลินในสงบ การติดอยู่ในฌานทำให้ไม่รับรู้สภาวธรรม อรูปฌานขั้นสูงจะหลงติดในสัญญาที่อ่อนละเอียด
ผู้ที่เจริญฌานมาบ้างย่อมพร้อมต่อการเดินทางสู่อริยมรรค ไม่มีความจำเป็นต้องรอหรือเสียเวลาไปกับฌานสุข สติและปัญญาที่เกิดกับสมาธิจึงจะเป็นมรรค ไม่ใช่ฌานเพียงลำพัง
เมื่อปฏิบัติถูกต้องตามมรรควิธี ดวงตาของฌานที่เคยตามเห็นสัญญาก็จักละสัญญาแล้วพบกับปัญญาที่มาจากส่วนลึกของจิต
ฌานทั้งหลายเป็นการเพ่งและละเลยสิ่งที่ไม่เพ่ง ถึงจุดหนึ่งก็ต้องละเพราะเป็นสมุทัย