เศรษฐกิจ (ไร้) ธนบัตร การเมืองเชิงสัญลักษณ์ในอินเดีย : ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์

อินเดียเป็นประเทศใหญ่ที่มีรากฐานประชาธิปไตยมานาน เศรษฐกิจที่กำลังเติบโตมีผลอย่างยิ่งต่อพลังทางการเมืองและความซับซ้อนระหว่างการเมืองระดับประเทศและระดับรัฐท้องถิ่น

อาณาจักรการเมืองใหม่กำลังเร่งเครื่องเพื่อสร้างชัยชนะเหนืออาณาจักรการเมืองเก่าซึ่งในอีก 2 ปี นายนเรนทรา โมที (Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันจะต้องลงสนามเลือกตั้งเพื่อให้มีชัยชนะต่อไปเหนืออาณาจักรเดิมของกลุ่มวงศ์วารเนห์รู-คานที

นายกรัฐมนตรีโมทีคือสัญลักษณ์ของฝ่ายเสรีนิยมที่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นกลางในเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับโลกาภิวัตน์

เป็นผู้นำทางการเมืองที่ฝ่ายตะวันตกคาดกันว่าจะครองอำนาจต่อไปอีกค่อนข้างแน่

Advertisement

อย่างไรก็ตาม การประกาศยกเลิกธนบัตรใหญ่สุดที่ใช้อยู่คือฉบับ 500 และ 1,000 รูปี ก็เป็นเกมใหญ่ที่ให้ผลตอบแทนทางการเมืองที่สูงแต่ก็อาจกลายเป็นความเสี่ยงใหม่ที่รัฐบาลประเมินต่ำไปก็ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเศรษฐกิจธนบัตร (Cash Economy) ที่ธุรกรรมปกติใช้เงินสดเกือบทั้งหมดหรือประมาณร้อยละ 90 อย่างประเทศอินเดีย

เหตุผลในการยกเลิกธนบัตรฉบับดังกล่าวคือการยกเลิกธนบัตรที่พวกฉ้อฉลมักเก็บกันไว้สำหรับเศรษฐกิจใต้ดินและการฟอกเงิน จึงเป็นการดัดหลังเพื่อให้ประชาชนไปใช้ธนบัตรใหม่ที่ผ่านสถาบันการเงินและระบบอิเล็กทรอนิกส์

Advertisement

เศรษฐกิจนอกระบบจะได้เข้าสู่ระบบและเสียภาษีจำนวนมากให้รัฐบาลที่เต็มไปด้วยหนี้สาธารณะ

แนวคิดเศรษฐกิจไร้ธนบัตร (Cashless Economy) นี้มีแม่แบบในสวีเดน แต่ไม่รุนแรงแบบในอินเดีย

ในประเทศไทยก็มีความพยายามอย่างเงียบๆ อยู่ เช่นการเร่งระบบพร้อมเพย์และการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการใช้จ่ายผ่านระบบภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งหวังไว้ว่าจะทำให้พ่อค้าเข้าสู่ระบบภาษี

ไม่แน่นัก ทางการไทยอาจถูกรัฐบาลนายโมทีชิงตัดหน้าวิธีการนี้ไปก่อนก็ได้

ในทางการเมือง การเริ่มการเมืองเชิงรุกด้วยมาตรการยกเลิกธนบัตรนับเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงการเมืองเก่าที่ถูกกล่าวหาว่าใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้งจากชาวบ้านทั่วไป

คล้ายๆ กับว่าสัญลักษณ์ของการเมืองเก่าคือคอร์รัปชั่นและเงินในแดนมืด (Black money) การเมืองใหม่คือความทันสมัยและความโปร่งใส

รัฐบาลนายโมทีเก็บลับมาตรการนี้ไว้อย่างเงียบเชียบและได้ประกาศเมื่อคืนวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยยกเลิกการใช้ภายใน 4 ชั่วโมง หรือภายหลังเที่ยงคืนของคืนนั้นและประชาชนต้องนำมาฝากสถาบันการเงินหรือแลกธนบัตรใหม่ได้ภายในสิ้นปี

ธนบัตรใหม่จะมีฉบับ 2,000 รูปีออกมาด้วย ซึ่งอาจแปลกอยู่บ้างเพราะจะเป็นฉบับที่เก็บซุกหรือโยกย้ายง่าย

นโยบายนี้ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นกลางในเมืองและสื่อตะวันตก บ้างก็หวังว่าจะเป็นการยกเลิกเงินที่ผิดกฎหมายอย่างได้ผลและกระทบผู้ร่ำรวยเป็นหลัก แต่นโยบายนี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั่วไปที่เคยชินกับการเงินแบบเก่าและไม่สะดวกกับการเงินแบบใหม่

นั่นคือชาวบ้านและเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการเสียประโยชน์ สถาบันการเงินและธุรกิจดิจิทัลได้ประโยชน์ ชนชั้นกลางมีความหวังว่าอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นในระยะยาว

ปัญหาคือรัฐบาลมีเหตุผลบางประการที่ให้เวลาเพียงสิ้นปีเนื่องจากต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่ธนบัตรใหม่จะผลิตได้อย่างเพียงพอ ยกเว้นจะจ้างพิมพ์ในต่างประเทศ

นายโมทีต้องขอเวลากับประชาชนในการแก้ไขวิกฤตเงินสดและขอให้ใช้มือถือทำธุรกรรมทางการเงินมากขึ้น

เวลาที่สั้นนี้จึงสั้นสำหรับรัฐบาลไปโดยไม่คาดคิดด้วย รัฐบาลจำต้องคืนคำพูดด้วยการผ่อนผันสำหรับการใช้ธนบัตรเก่าสำหรับการรักษาพยาบาล ยารักษาโรคและการโดยสารไประยะหนึ่ง

เม็ดเงินที่เป็นธนบัตรที่ถูกยกเลิกคงจะช่วยสร้างความเดือดร้อนให้พวกเก็บส่วยไว้ที่บ้านพอสมควร ต้องรีบแปลงเป็นทองคำและนาฬิกาหรือสิ่งของราคาแพง แต่การแก้ไขคอร์รัปชั่นซึ่งเป็นเรื่องอื่นๆ อีกเช่นความขัดแย้งทางผลประโยชน์และระบบอุปถัมภ์ยังเป็นสิ่งที่ยังห่างไกลจากวิธีการนี้

นอกจากนี้ เศรษฐกิจนอกระบบทางการก็มิใช่ระบบทุจริตทั้งหมด เพียงเป็นระบบของชาวบ้านและดูไม่สวยงามเหมือนการทุจริตของผู้มีอำนาจและมีการศึกษาเท่านั้น

ผลกระทบต่อคอร์รัปชั่นคงเป็นผลกระทบชั่วคราว ธนบัตรใหม่ที่มีรูปแบบใหม่ก็จะยังผ่านมือที่ทุจริตได้ต่อไปในอนาคต อาจต้องใช้ความแนบเนียนและความรู้มากขึ้นซึ่งชาวบ้านทั่วไปไม่มี

ผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะสั้นเป็นสิ่งที่คาดคะเนได้และอาจมีมากกว่าที่นายโมทีคาดไว้ สภาพคล่องเก่าที่หดไปจะต้องถูกทดแทนด้วยสภาพคล่องใหม่ที่เพียงพอและรวดเร็ว มิฉะนั้นจะทำให้การทำงานของระบบการเงินผิดปกติตามการเงินนอกระบบที่ได้รับผลกระทบก่อน

ธนบัตรฉบับ 500 และ 1,000 รูปี มีจำนวน 15.3 ล้านล้านรูปี หรือคิดเป็นร้อยละ 86 ของปริมาณธนบัตรทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 17.8 ล้านล้านรูปี ดังนั้น จึงคาดกันว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอินเดียอย่างมากเพราะธุรกรรมทางการเงินมากมายนั้นต้องอาศัยเงินสดที่ถูกยกเลิกไปนี้

การประเมินจากตัวเลขร้อยละ 86 ของปริมาณเงินสดรวมอาจจะรุนแรงเกินไปบ้างเพราะสภาพคล่องรวมที่ควรพิจารณาเป็นสภาพคล่องที่ต้องรวมทั้งเงินสดและเงินฝากสถาบันการเงินด้วย สภาพคล่องที่เป็นเงินฝากก็จะเป็นสภาพคล่องที่ได้รับอานิสงส์และจะขยายตัวทดแทนในช่วงที่มีภาวะติดขัดแล้วจึงค่อยกลับไปเหมือนเดิมเมื่อมีธนบัตรใหม่พิมพ์ออกมาเพียงพอแล้ว

ส่วนที่ถูกกระทบรุนแรงจะเป็นประชาชนทั่วไปซึ่งพึ่งพาอาศัยเศรษฐกิจนอกระบบทางการและได้รับค่าจ้างรายวันเป็นเงินสด

อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมแล้ว นายมันโมหัน สิงห์ (Manmohan Singh) อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงในการปฏิรูปเศรษฐกิจของอินเดียในสมัยที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้วิจารณ์ว่ามาตรการนี้จะทำลายความเชื่อมั่นที่มีต่อระบบการเงินและจะทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอินเดียตกลงประมาณร้อยละ 2

ส่วนนักวิเคราะห์ของเอชเอสบีซีประมาณไว้ว่าอัตราการขยายตัวจะถูกกระทบร้อยละ 0.7-1.0

ในทางเศรษฐศาสตร์ เราเรียกปริมาณเงินที่เป็นพวกเหรียญกษาปณ์และธนบัตรซึ่งโดยว่าเงินภายนอก (Outside Money) และเรียกเงินฝากในสถาบันการเงินเอกชนว่าเงินภายใน (Inside Money) ทั้งสองส่วนเป็นปริมาณเงินที่ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจและค่อนข้างจะทดแทนกันได้ถ้ามีเวลาปรับตัวเพียงพอจริงๆ

เงินภายนอกเป็นส่วนที่ได้รับผลเสียหายจากมาตรการของรัฐในขณะที่เงินภายในซึ่งมีประสิทธิภาพในการหมุนเวียนสูงกว่าได้รับอานิสงส์ ภาวะวิกฤตมิได้เกิดหรือระบาดไปที่สถาบันการเงิน มิฉะนั้นความเลวร้ายจะมีมากและยาวนาน

อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรการธนบัตรใหม่แทนธนบัตรเก่าและส่งเสริมให้ทำธุรกรรมออนไลน์แบบโลกาภิวัตน์อย่างเฉียบพลันเช่นนี้ย่อมกระทบภาคเศรษฐกิจจริงอย่างน้อยในระยะสั้น

เพราะชาวอินเดียประมาณ 300 ล้านคนเท่านั้นที่มีบัญชีเงินฝากธนาคารและจำนวนน้อยมากที่มีสมาร์ทโฟนและใช้บริการดิจิทัลอันแสนแพง แม้แต่ตู้เอทีเอ็มก็ขาดแคลนสำหรับคนในมือง

ประชาชนจะต้องหันไปต้องการธนบัตรฉบับเล็กมากขึ้นหรือใช้วิธีแลกเปลี่ยนสินค้าตรงๆ การหมุนเวียนของเงินจะช้าลง คนรวยและพวกธุรกิจนอกระบบหันไปใช้ธนบัตรฉบับ 2,000 รูปีมากขึ้น ส่วนการโยกย้ายทรัพย์สินออกนอกประเทศยังไม่ปรากฏชัดแต่มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

การหมุนเวียนของเงินที่สะดุดลงจะมีผลต่อการใช้จ่ายของภาคเศรษฐกิจจริง เศรษฐกิจที่คาดกันว่าจะชะลอตัวเพราะนโยบายนี้จึงส่งผลให้ค่าเงินรูปีอ่อนค่าลงอย่างแรงและเป็นการอ่อนค่าเพิ่มยิ่งขึ้นจากแนวโน้มที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐกำลังแข็งขึ้นอยู่แล้ว

ปัจจุบันนี้ อินเดียมีทุนสำรองระหว่างประเทศคิดเป็นร้อยละ 90 ของปริมาณเงิน (M1) แค่เพียงพอหรือสูงกว่าระดับธุรกรรมปกติเพียงเล็กน้อย จึงยากที่จะรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนไว้ได้ถ้าเกิดความจำเป็นขึ้น

ในอนาคตอันใกล้ จะมีการเลือกตั้งที่รัฐอุตตรประเทศซึ่งเป็นรัฐการเกษตร หลายฝ่ายกำลังใจจดใจจ่อว่าผลการเลือกตั้งจะสะท้อนการตอบรับที่ดีหรือเลวจากนโยบายที่สุดโต่งนี้

เศรษฐกิจอินเดียในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสนับสนุนเสียงของนายโมที ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวและเผชิญปัญหาเงินทุนไหลออก

ขณะนี้เงินทุนกำลังเริ่มไหลเข้าสหรัฐอเมริกาและไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ ถ้าในอีก 2 ปีข้างหน้า แนวโน้มยังเป็นเช่นนี้โดยเศรษฐกิจจีนดีขึ้น อนาคตของนายกรัฐมนตรีโมทีก็จะเผชิญสิ่งท้าทายจากกระแสต้านโลกาภิวัตน์และความไม่เป็นธรรมที่ทันสมัย

นโยบายเศรษฐกิจธนบัตรใหม่หรือไร้ธนบัตรจะช่วยสนับสนุนความต่อเนื่องทางการเมืองอย่างที่ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลคาดหวังหรือไม่

หรือว่านโยบายนี้จะกลับกลายเป็นรอยแค้นที่ชาวบ้านจะใช้ในการลงคะแนนเสียงตอบโต้นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล

เราซึ่งเป็นคนนอกคงต้องติดตามศึกษาเศรษฐกิจการเมืองท่ามกลางความแตกแยกที่กำลังก่อตัวไว้เป็นประสบการณ์

ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image