ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
---|
กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) อ่อนแอในข้อมูลความรู้ตั้งแต่เรื่องประวัติสุนทรภู่ จนถึงเรื่องชื่อเมืองร้อยเอ็ด แล้วมีนักค้นคว้าสงสัยว่าผู้บริหารระดับสูงไม่แข็งแรงเรื่องความรับผิดชอบ
ลักษณะอ่อนแอในข้อมูลความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม เป็นอันตรายต่อการศึกษาของไทยในโลกไม่เหมือนเดิม และเป็นปฏิปักษ์ต่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่รัฐบาลใหม่ต้องพิจารณาจงหนักเพื่อปรับโครงสร้างการบริหารจัดการ
- สุนทรภู่ เกิดวังหลัง ผู้ดีบางกอก
กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เมื่อวันศุกร์ 23 มิถุนายน 2566เผยแพร่ข่าวผ่านสื่อโซเชียลมีความตอนหนึ่งว่า
“สุนทรภู่มีบิดาเป็นชาวบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ถือได้ว่าสุนทรภู่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวจังหวัดระยองอย่างแท้จริง”
ซึ่งเป็นข้อมูลเก่าที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนและขัดแย้งหลักฐานจริงที่สุนทรภู่เขียนบอกเอง จะยกมาอย่างสรุปสั้นๆ ดังนี้
สุนทรภู่เกิดในวังหลัง ปากคลองบางกอกน้อย ฝั่งธนบุรี (ปัจจุบันคือบริเวณโรงพยาบาลศิริราช) พบเบาะแสและหลักฐานที่สุนทรภู่เขียนไว้เองในโคลงนิราศสุพรรณ
(1.) เมื่อเป็นเด็ก สุนทรภู่อยู่ (กับแม่) ในเรือนแพปากคลองบางกอกน้อย บริเวณวังหลัง ดังนี้
“วังหลังครั้งหนุ่มเหน้า เจ้าเอย
เคยอยู่ชูชื่นเชย ค่ำเช้า”
“เลี้ยวทางบางกอกน้อย ลอยแล
บ้านเก่าเหย้าเรือนแพ พวกพ้อง”
วังหลังเป็นวังที่ ร.1 พระราชทานให้ “หลาน” (คือ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข) ส่วนบิดามารดาของสุนทรภู่เป็นบริวารใกล้ชิดติดสอยห้อยตามวังหลังตั้งแต่เป็นนายทองอินอยู่อยุธยา
เรื่องสุนทรภู่เกิดในวังหลัง พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) เรียงเรียงไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2456 (พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก ใน ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 21 ฉบับที่ 8 เดือนมิถุนายน หน้า 46-52)
(2.) สุนทรภู่เรียนหนังสือตั้งแต่เด็กจนโตอยู่สำนักวัดชีปะขาว (ปัจจุบันคือวัดศรีสุดาราม บางขุนนนท์) ในคลองบางกอกน้อย ดังนี้
“วัดปะขาวคราวรุ่นรู้ เรียนเขียน
ทำสูตรสอนเสมียน สมุดน้อย”
สำนักวัดชีปะขาวเป็นสถานศึกษาสำหรับลูกหลาน “ผู้ดี” วังหลัง (ส่วนลูกหลาน “ขี้ข้า” ชาวสวนไม่ต้องเรียน หรือเข้าเรียนที่นี่ไม่ได้)
(3.) เมื่อเป็นเด็กน้อย สุนทรภู่เคยตามเสด็จวังหลังไปวิ่งเล่นในสวนหลวง (ย่านวัดไก่เตี้ย บางขุนนนท์ ทุกวันนี้)
“สวนหลวงแลสล้างล้วน พฤกษา
เคยเสด็จวังหลังมา เมื่อน้อย”
สวนหลวงเป็นพื้นที่สวนต่อเนื่องกว้างขวางมากของวังหลัง เป็นที่เสด็จประพาสเป็นส่วนพระองค์ พร้อมบริวารบ่าวไพร่ใกล้ชิดเท่านั้น ซึ่งเป็นพยานหลักฐานชัดเจนว่า สุนทรภู่เป็นลูก “ผู้ดี” วังหลัง
ตระกูลพราหมณ์เมืองเพชรบุรี สุนทรภู่เขียนบอกไว้ในกลอนนิราศเมืองเพชร “ฉบับตัวเขียน” ที่พบใหม่จากสมุดข่อย เก็บไว้ในหอสมุดแห่งชาติ มีกลอนตอนหนึ่งเมื่อไปเยี่ยมญาติอยู่โบสถ์พราหมณ์เมืองเพชรบุรี ได้เขียนบอกว่าบรรพชนสายแม่สายพ่อเป็นเชื้อสายพราหมณ์เมืองเพชรบุรีที่สืบจากเมืองรามราช (อินเดียใต้) ดังนี้
“เป็นถิ่นฐานบ้านพราหมณ์รามราชล้วนโคตรญาติย่ายายฝ่ายวงศา”
เรื่องนิราศเมืองเพชร “ฉบับตัวเขียน” อ. ล้อม เพ็งแก้ว (นักปราชญ์สยาม) ตรวจสอบชำระและทำคำอธิบายอย่างละเอียดแล้วพิมพ์เผยแพร่หลายครั้งตั้งแต่ พ.ศ. 2529
- เมืองร้อยเอ็ดประตู อยู่ในอุรังคธาตุ
เมืองร้อยเอ็ดมีความเป็นมาของชื่ออยู่ในอุรังคธาตุ (หรือหนังสือตำนานพระธาตุพนม)มรดกความทรงจำแห่งโลก (จากการประกาศรับรองของยูเนสโก)
“ร้อยเอ็ด” มีในหนังสืออุรังคธาตุว่า “เมืองร้อยเอ็ดประตู”เขียนบนใบลานเป็นตัวอักษรชัดเจนตรงไปตรงมา (ไม่เขียนเป็นตัวเลข)
“เมืองสิบเอ็ดประตู” ไม่มีในหนังสืออุรังคธาตุ แต่ถูกบิดเบือนปลอมแปลงโดยข้าราชการเจ้าหน้าที่รัฐว่ามีในอุรังคธาตุฉบับอื่น ซึ่งเป็นเท็จ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร้อยเอ็ด (สังกัด วธ.) เขียนบทความและจัดนิทรรศการอธิบายเรื่องชื่อร้อยเอ็ดมาจาก “เมืองร้อยเอ็ดประตู” ในอุรังคธาตุ แต่วัฒนธรรมจังหวัด ไม่ใส่ใจข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์ฯ แห่งชาติ
ผู้บริหารระดับสูงของ วธ. ไม่ใส่ใจข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น โดยไม่แก้ไขให้ตรงตามหลักฐาน แล้วอ้างว่าไม่เกี่ยวกับ วธ. กลับโยนให้จังหวัดร้อยเอ็ด ทั้งๆ ตนเองเกี่ยวข้องตั้งแต่ต้น
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นหน่วยงานหลักในการเผยแพร่รักษาข้อมูลเรื่องสิบเอ็ดประตู นับตั้งแต่พุทธศักราช 2547 เป็นอย่างน้อย เรื่องนี้พบในเอกสารของปริญ รสจันทร์ (อาจารย์สอนประวัติศาสตร์เมืองร้อยเอ็ด ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด) ดังนี้
หนังสือพิมพ์พิราบข่าว ฉบับเดือนมีนาคม พุทธศักราช 2555 กล่าวถึงบทบาทของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดร้อยเอ็ดในกิจกรรมการตั้งชื่อคำขวัญจังหวัดร้อยเอ็ดว่า
“…จนกระทั่ง พ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นยุคสมัยแห่งการบริหารจังหวัดอย่างบูรณาการ (CEO) นายนพพร จันทรถงผวจ.ร้อยเอ็ดสมัยนั้น มีนโยบายที่จะให้สิ่งดีๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดร้อยเอ็ด ได้อยู่ในคำขวัญจังหวัดร้อยเอ็ด จึงได้มีการตั้งคณะกรรมการปรับปรุงคำขวัญจังหวัด โดยให้ สนง.วัฒนธรรมจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นเจ้าภาพ และผลก็คือ “สิบเอ็ดประตูเมืองงาม” ก็ได้ปรากฏอยู่ในวรรคแรกของคำขวัญจังหวัด ด้วยความดื้อด้านและงี่เง่าของกรรมการพิจารณาคำขวัญจังหวัดฯ บางท่าน ที่ไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของเมืองร้อยเอ็ด…”
จากนั้นเป็นต้นมา แม้จะมีการทักท้วงทวงถามความถูกต้องแต่คงมีเพียงความเพิกเฉยไม่คิดแก้ไขให้ถูกต้อง เช่น เมื่อพุทธศักราช 2552 มีการจัดสัมมนาประวัติศาสตร์เมืองร้อยเอ็ดซึ่งผลการสัมมนานั้นทุกคนยอมรับว่าเรื่องสิบเอ็ดประตูเป็นเรื่องที่ไม่จริง แต่ความรู้นี้กลับถูกปกปิดไว้ และคงมีการใช้คำขวัญจังหวัดแบบที่มีข้อมูลที่ผิดต่อไป
พ.ศ. 2558 สมัยที่นายสมศักดิ์ จังตระกุล เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด มีการตั้งคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์จังหวัดร้อยเอ็ดอีกครั้ง โดยมีสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นผู้ประสานงาน ครั้งนั้นมีคณะกรรมการทำรายงานข้อมูล ความหมายของคำว่าร้อยเอ็ด โดยย้ำว่าเรื่องสิบเอ็ดประตูเป็นข้อเสนอที่ไม่มีหลักฐาน แต่ความรู้นี้ก็ไม่ถูกเผยแพร่แต่ประการใด
[ขอบคุณอาจารย์ปริญ รสจันทร์ ที่เปิดโปงความจริงเรื่อง วธ.]