ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
---|
อ่านบทความของสุจิตต์ วงษ์เทศ เรื่องทุเรียนแล้ว ขอบอกว่า มันมั่วมาก ที่อ้างอิงนั้น ผิดข้อเท็จจริงมาก
1. ทุเรียน เป็นคำมาจากภาษามลายู ไม่ใช่จีน อย่างที่สุจิตต์อธิบาย
2. มาจากคำในภาษามลายูว่า Duri แปลว่า หนาม เข็ม สิ่งแหลม + suffix “an” ซึ่งคำนี้เมื่อเติมหลังคำใด จะมีความหมายว่า “มาก หรือ เต็มไปด้วย” ดังนั้น duri+an = durian แปลว่า เต็มไปด้วยหนาม/หรือเงาะ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า rambutan ก็มาจากภาษามลายูคำว่า rambut แปลว่า “เส้นผม ขน” เมื่อบวกด้วย suffix “an” = rambutan เต็มไปด้วยขน
3. คำว่า หลิวเหลียน มาจากไหน ก็มาจากคนจีนในมลายูเรียกทุเรียนตามภาษามลายู แต่ออกเสียงไม่ได้และตัวอักษรจีนเขียนตามไม่ได้ จึงออกเสียงท้องถิ่นว่า หลิ่วเหลี่ยง แล้วเขียนเป็นอักษรอ่านเป็นภาษาจีนกลางว่า หลิวเหลี่ยน
4. ขอแถมคำว่า เงาะ เป็นความรู้เพิ่มเติม คนจีนในมลายูไม่ออกเสียงคำว่าเงาะเป็น rambutan แต่กลับไปสังเกตลักษณะกายภาพของลูกเงาะ แล้วจินตนาการว่าเหมือนลูกอัณฑะของมนุษย์ เพราะมีขนปกคลุมลูกกลมๆ แต่มีขนเป็นสีแดง เลยเรียกว่า “อั่งหม่อตาน” อั่งหมอ = ฝรั่ง อั้งม้อ ตาน = เม็ดกลมๆ หรือแปลว่าอัณฑะ ฝรั่งเขียนเป็นอักษรจีนว่า จีนกลางอ่านว่า “หงเหมาตาน” แปลว่า เงาะ แต่คนจีนท้องถิ่นโบราณ เปรียบเทียบเงาะเหมือนอัณฑะฝรั่ง เลยเรียกไปตามนั้น
ฝากเรียนคุณสุจิตต์ให้เข้าใจด้วย
ธงชัย ชาสวัสดิ์
คำบอกเล่าเก่าแก่ ไม่ใช่เรื่องจริง
ขอบพระคุณอย่างสูง คุณธงชัย ชาสวัสดิ์ ที่กรุณาแบ่งปันข้อมูลความรู้ให้ผม ซึ่งเป็นผู้น้อยอ่อนด้อยทางภาษามลายู, ภาษาจีน, ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆ อีกมาก
ผมไม่มีประสิทธิภาพเก่งกล้าสามารถในการศึกษาค้นคว้าวิชาความรู้ลึกซึ้ง จึงเป็นศิษย์ครูพักลักจำมาตลอดตั้งแต่เริ่มทำนิตยสารศิลปวัฒนธรรม แล้วบอกชื่อเสียงเรียงนามครูบาอาจารย์ทุกครั้งที่ผมลักจำมาใช้งานเขียนดัดแปลงให้ง่ายๆ สู่สาธารณะ
จึงขอทำความเข้าใจให้ตรงกันว่าเรื่องทุเรียนที่คุณธงชัยยกมานั้น ผมไม่ได้เป็นคนเขียน แต่เป็นคนคัดลอกโดยสรุป ซึ่งมาจากคำบอกเล่า (นิทาน) เรื่องซำปอกงกับทุเรียนสยาม ยุคต้นอยุธยา ซึ่งใครๆ อ่านก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง ผมคัดลอกไว้เพื่ออ่านคลายเครียดเท่านั้น
แล้วบอกที่มาของเรื่องนี้ไว้ชัดเจน อยู่ในมติชนออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2560 ขอยกมาให้ดูอีกครั้ง ดังนี้
จากมติชนออนไลน์
[ดูรายละเอียดเรื่องเจิ้งเหอในหนังสือ 3 เล่ม (1.) เจิ้งเหอ แม่ทัพขันที “ซำปอกง” ของ ปริวัฒน์ จันทร สำนักพิมพ์มติชน 2546, (2.) เจิ้งเหอ ซำปอกงและอุษาคเนย์ ของ สืบแสง พรหมบุญ สำนักพิมพ์มติชน 2549, (3.) 600 ปี สมุทรยาตราเจิ้งเหอ แม่ทัพเรือผู้กลายมาเป็นเทพเจ้า “ซำปอกง” อันศักดิ์สิทธิ์ ของ ปริวัฒน์ จันทร สำนักพิมพ์มติชน 2548]
กลิ่นทุเรียนเหมือนขี้ซำปอกง
พืชพันธุ์จากสุวรรณภูมิแลกเปลี่ยนเข้าไปเมืองจีนด้วย ในคราวเดียวกัน เรื่องนี้ ปริวัฒน์ จันทร เขียนเล่าเรื่องทุเรียนไปเมืองจีนกับซำปอกง จะสรุปมาดังนี้
คำว่า “ทุเรียน” ในภาษาจีนกลาง เจิ้งเหอเป็นคนตั้งชื่อว่า “หลิวเหลียน” หรือสำเนียงแต้จิ๋วออกเสียงว่า “โถวเลี้ยง” แปลว่า ความหวนอาลัย หมายถึงผู้ใดที่ไม่เคยรับประทานทุเรียนมาก่อน ลองได้รับประทานเข้าก็จะหลงอาลัยในรสชาติจนยากที่จะลืมเลือนและไม่อยากกลับบ้าน
เชื่อกันว่าผลไม้ทุเรียนนี้ชาวจีนเพิ่งรู้จักครั้งแรกในสมัยราชวงศ์หมิง โดยลูกเรือของเจิ้งเหอที่ได้ลิ้มลองแล้วติดใจนำกลับไปเล่าขานให้คนที่เมืองจีนฟังกัน
ชาวจีนแต้จิ๋วในประเทศไทยมักเล่าให้ลูกหลานฟังว่า คำว่า “ทุเรียน” นั้นชาวจีนเรียกว่า “ซำปอกงไส้” หรือ อาจมของซำปอกง?!
กล่าวคือ เมื่อเจิ้งเหอได้เดินเรือมาค้าขายในสยามนั้น ระหว่างทางที่ได้ไปเดินเที่ยวชมตามหมู่บ้าน ท่านเกิดปวดท้องหนัก เมื่อถ่ายแล้วจึงได้นำก้อนอาจมนั้นห่อใบไม้ นำปีนขึ้นไปแขวนไว้บนกิ่งไม้
บังเอิญในขณะนั้นมีชาวบ้านที่ทราบว่าซำปอกงเดินผ่านมา จึงได้มาขออาหารจากเจิ้งเหอที่ชาวจีนเชื่อว่าท่านเป็นผู้ที่มีวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก จึงได้ชี้ขึ้นไปบนต้นไม้ บอกว่าให้ปีนขึ้นไปบนนั้น ข้างบนมีทุเรียนอยู่
ชาวบ้านคนนั้นจึงเชื่อ แล้วปีนขึ้นไปแกะห่ออาจมออกมาดู พบว่าข้างในเป็นผลทุเรียนสีเหลืองที่ส่งกลิ่นอันหอมหวนชวนรับประทานไปในพลัน!
ฉะนั้นใครที่ไม่ชอบกลิ่นของทุเรียนที่หอมฉุน ก็มักจะอ้างว่าทุเรียนมีกลิ่นเหม็นเหมือนขี้ซำปอกง
[จบข้อความที่คัดจากคำบอกเล่าเรื่องซำปอกงกับทุเรียน]