ภาพเก่าเล่าตำนาน เกียรติศักดิ์ทหารเรือผิวดำ… ขอแหกกฎคนผิวขาว โดยพลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

เรื่องจริงในประวัติศาสตร์ของกองทัพเรือสหรัฐที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อปี ค.ศ.2000 เรื่อง Men of Honor สร้างความสะเทือนใจ เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการต่อสู้ของชนรุ่นหลัง ก่อเกิดพลังให้เกิดการเรียนรู้ของสังคมที่จะต้องอยู่ร่วมกันแบบเท่าเทียม

ภาพเก่า..เล่าตำนาน ขอย้อนอดีตเรื่องฉาวที่ถูกเปิดเผยต่อสังคมโลก เมื่อทหารเรือผิวดำขอแหกกฎกองทัพเรือเพื่อเข้าไปเป็นนักประดาน้ำของกองทัพเรือสหรัฐที่จะรับเฉพาะทหารผิวขาว

Advertisement

คาร์ล แมกซี บรูห์เชียร์ (Carl Maxie Brashear ออกเสียงว่า bruh-SHEER) เกิดเมื่อ 19 มกราคม พ.ศ.2474 ณ เมืองโทนีวิลล์ รัฐเคนตักกี เป็นลูกคนที่ 6 ในจำนวน 8 คนในครอบครัวชาวชนบท พ่อแม่เช่าที่ดินทำการเกษตร ในวัยเด็กเข้าเรียนที่โรงเรียนซาโนรา (Sanora) จนจบมัธยมต้นในปี พ.ศ.2489 เมื่ออายุ 17 ปี เด็กหนุ่มผิวดำคนนี้ไปสมัครเป็นพลทหารในกองทัพบกแต่ถูกปฏิเสธ จึงไปสมัครเป็นพลทหารเรือ ได้รับการบรรจุในเดือนกุมภาพันธ์ 2491

คนผิวดำที่มาสมัครเป็นทหารเรือ โดยมากจะถูกบรรจุในหน่วยบริการ เขาถูกส่งไปประจำที่ คีย์ เวสต์ รัฐฟลอริดา (Key West, Florida) ทำหน้าที่จัดเตรียมอาหารสำหรับนายทหารผิวขาว

ชีวิตต้องพเนจร ในปี พ.ศ.2493 พลทหารบรูห์เชียร์ย้ายไปประจำการบนเรือบรรทุกเครื่องบิน พาลาว (Palau) วันหนึ่งในระหว่างทำงานบนดาดฟ้าเรือ พลทหารที่ทำหน้าที่พ่อครัวตื่นเต้นสุดขีด เมื่อได้เห็นนักประดาน้ำทหารเรือลงไปกู้ซากเครื่องบินที่ตกลงไปในทะเล

Advertisement

เหตุการณ์เร้าใจพลทหารหนุ่มผิวดำวันนั้น ทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไป แบบฟ้ากับเหว

พลทหารบรูห์เชียร์ เขียนจดหมายไปถึง ผบ.โรงเรียนฝึกนักประดาน้ำของกองทัพเรือเพื่อขอสมัครเข้ารับการฝึกทันทีด้วยความฝันจะเป็นนักประดาน้ำให้จงได้ แต่ไม่ได้รับคำตอบรับ

เขาเปิดเผยในภายหลังว่า เขาเขียนจดหมายไปนับได้ราว 100 ฉบับ จึงได้รับการตอบรับในปี พ.ศ.2497

ยุคสมัยโน้นในสังคมอเมริกัน มีกฎเกณฑ์การแบ่งแยกสีผิวชัดเจน โรงเรียน รถเมล์ ห้องน้ำ ก๊อกน้ำดื่ม ที่นั่ง ฯลฯ จะต้องแยกสีผิว ปะปนกันไม่ได้ โรงเรียนส่วนใหญ่จะรับเฉพาะคนผิวขาวเพื่อปิดอนาคตคนผิวดำ ที่เจ็บปวด คือ คนผิวดำต้องลุกขึ้นสละที่นั่งบนรถเมล์เพื่อให้คนผิวขาวนั่ง ตำแหน่งหน้าที่ในกองทัพที่เป็นผู้บังคับหน่วยจะต้องไม่ใช่คนผิวดำ

นี่เป็นเรื่องจริงที่สังคมโลกรับทราบเสมอมา เป็นกฎเหล็กที่คนผิวดำต้องยอมรับ

บรูห์เชียร์ เป็นแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่ไม่ยอมรับกติกาของคนขาว และในที่สุด พลทหารบรูห์เชียร์สามารถฝ่าด่านได้เข้าฝึกหลักสูตรนักประดาน้ำที่ บายอนน์ รัฐนิวเจอร์ซี (Bayonne, New Jersey) เพื่อพิสูจน์ความสามารถ

หลักสูตรนักประดาน้ำเป็นการฝึกที่ทรหด ทหารที่สำเร็จหลักสูตรนี้จะได้รับเงินรายเดือนเพิ่ม (เช่นเดียวกับทหารพลร่ม) ซึ่งถือว่าเป็น Top Man คนหนึ่งในกองทัพที่ทหารทุกคนต้องการจะเป็น แต่ต้องผ่านการฝึก

พลทหารบรูห์เชียร์กลายเป็นตัวประหลาดตั้งแต่ในวันแรกที่เข้าไปรายงานตัวในค่ายฝึก ทุกสายตาไม่บ่งบอกถึงมิตรภาพ เมื่อไปถึงเตียงนอนบนกองร้อย มีกระดาษเขียนข้อความทักทาย “ไอ้มืด..เราจะทำให้มึงจมน้ำตาย เราไม่ต้องการนักประดาน้ำนิโกร”

มันไม่ใช่การขู่ ครูฝึกและเพื่อนทหารคนขาวทั้งหลายหาทางกลั่นแกล้งที่จะกำจัดนิโกรคนนี้ออกไปจากหลักสูตรนักประดาน้ำให้จงได้ คนดำหนึ่งเดียวท่ามกลางคนขาว แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือไม่มีมิตรภาพแบ่งปันให้คนดำ

พลทหารรูเธอร์ฟอร์ด คือ ทหารผิวขาวที่แอบให้กำลังใจ คอยกระตุ้นให้เพื่อนผิวดำคนนี้ผ่านอุปสรรคทั้งปวง ความกดดันรอบด้านทำให้ต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่นๆ ทั้งการสอบข้อเขียน และภาคปฏิบัติในทะเลทุกเรื่อง ที่หลักสูตรกำหนดไว้

ผู้เขียนขอเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่าการฝึกหลักสูตรทางทหารที่ต้องใช้ความอดทนลักษณะนี้ ครูฝึกสามารถกลั่นแกล้งได้ เช่น ยั่วยุให้เกิดอารมณ์ ท้าให้ลาออก และครูฝึกมีสิทธิที่จะตัดสินผู้เข้ารับการฝึกให้พ้นสภาพได้ทุกเวลานาที

แต่ทั้งหมดนี้ ห้ามการถูกเนื้อต้องตัวผู้รับการฝึกเด็ดขาด

สิ่งที่ค้ำจุน รักษาระบบการฝึกไว้ได้คือ ครูฝึกต้องมีคุณธรรมและยุติธรรม ผู้บังคับบัญชาต้องใส่ใจ ติดตามสอดส่อง

หลังจากการกลั่นแกล้ง มีอคติ และกีดกันไม่ให้จ่าคนดำสำเร็จหลักสูตรประดาน้ำอย่างเต็มที่แล้ว คนดำใจเพชรก็สามารถฝ่าฟัน ทำทุกอย่างผ่านเกณฑ์มาตรฐานของหลักสูตร 1 ปี ได้ท่าม กลางความกดดันทั้งกายใจซึ่งบ่งบอกถึงความยุติธรรมที่หลงเหลืออยู่บ้าง

การกลั่นแกล้งครั้งสำคัญและถือเป็นการตัดสินชะตาชีวิตของเขาว่าจะสำเร็จเป็นนักประดาน้ำได้หรือไม่ คือ การทดสอบให้นักประดาน้ำดำลงไป แล้วนำชิ้นส่วนอุปกรณ์หลายชิ้นประกอบขึ้นมาให้ยุทโธปกรณ์นั้นทำงานได้ในน้ำทะเลที่เย็นจัด

เช้าวันนั้น ครูฝึกโปรยชิ้นส่วนอุปกรณ์ลงในก้นทะเลแบบกระจัดกระจาย เพื่อให้จ่าต้องสอบตกเพราะทำงานไม่สำเร็จ พลทหารบรูห์เชียร์ทราบดีถึงการกลั่นแกล้ง เขาสวมหัวใจสิงห์ อดทนแช่ในน้ำเย็นเฉียบ ค่อยๆ ควานหาชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่พื้นทรายก้นทะเลอย่างลำเค็ญนานนับชั่วโมง ครูฝึกและเพื่อนๆ ที่ผ่านการทดสอบไปแล้วลุ้นระทึกต่อการยอมจำนนของพลทหารผิวหมึก คาดหวังว่าน้ำทะเลเย็นเฉียบน่าจะเป็นตัวบีบบังคับให้เขาต้องยอมแพ้

เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง น้ำทะเลที่เย็นเกือบเป็นน้ำแข็งทำให้พลทหารบรูห์เชียร์อ่อนแรง ร่างกายสั่นสะท้านเพราะได้รับความเย็นเกินขนาดแทบจะเคลื่อนไหวไม่ได้ มนุษย์ผู้ขอแหกกฎกัดฟันหยิบชิ้นส่วนที่เป็นนอตตัวสุดท้ายประกอบเข้ากับอุปกรณ์สำเร็จ

และในที่สุดครูฝึกก็ต้องยอมรับว่าทหารเรือคนผิวสีคนนี้ มีความสามารถจริง ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดและต้องมอบความยุติธรรมให้ คือ ต้องให้สำเร็จหลักสูตรเป็นนักประดาน้ำผิวดำคนแรกของกองทัพเรือสหรัฐ ในปี พ.ศ.2498

ความฝันอันสูงสุดของพลทหารบรูห์เชียร์ไม่หยุดเพียงแค่นี้ เขาต้องการไต่เต้าไปเป็นนักประดาน้ำชั้น 1 (first-class diver) เพื่อจะได้ออกทำงานในทะเลลึก แต่ปัญหาคือวุฒิการศึกษาของเขายังเป็นอุปสรรค เขาสอบไม่ผ่านวิชาฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ จึงไม่สามารถบรรจุเป็นประดาน้ำชั้น 1 ได้

พลทหารคนนี้ต้องปลีกตัว (นอกเวลาราชการ) ไปเรียนในโรงเรียนสามัญเพิ่มเติมอีก 3 ปี เพื่อให้ได้วุฒิบัตร

และในที่สุด พลทหารยอดนักสู้คนนี้จึงได้บรรจุเป็นนักประดาน้ำชั้น 1

พลทหารคาร์ล บรูห์เชียร์ ถูกส่งไปทำงานครั้งแรก แสดงฝีมือ โดยการดำน้ำลงไปเก็บกู้กระสุนราว 16,000 นัด ใต้ท้องทะเลที่จมพร้อมเรือล่มในอ่าวรัฐโรดไอแลนด์ การลงไปกู้ซากเครื่องบิน Blue Angel และร่างของนักบินที่ติดในตัวเครื่องจมในก้นทะเล

โชคชะตาผันผวนไม่หยุด วันหนึ่งนักประดาน้ำคนนี้ถูกส่งไปทำหน้าที่ รปภ.บนเรือบาร์บารา แอนน์ (Barbara Ann) ซึ่งนักประดาน้ำผิวดำคนแรก ได้มีโอกาสพบกับประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ ซึ่งท่านได้มอบมีดพับเล็กสลักข้อความว่า “To Carl M. Brashear. From Dwight D. Eisenhower, 1957. Many, many thanks.”

ในปี พ.ศ.2502 เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าชุดประดาน้ำ แล้วย้ายไปประจำที่เกาะกวมเพื่อเก็บกู้วัตถุระเบิดที่จมอยู่ใต้ทะเลตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

มกราคม พ.ศ.2509 มีเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า พาโลมาเรส (Palomares) ในทะเลของสเปน เมื่อเครื่องบิน B52-G ชนกับเครื่องบิน KC-135A ขณะเติมน้ำมันกลางอากาศ ทำให้หัวรบระเบิดไฮโดรเจนจมหายไปในทะเล บรูห์เชียร์และทีมนักประดาน้ำของกองทัพเรือถูกส่งไปค้นหาหัวรบใต้ท้องทะเลลึกเมดิเตอร์เรเนียน ในที่สุด ทีมงานนักประดาน้ำชั้นยอด ใช้เวลาราว 2 เดือนเศษจึงค้นพบหัวรบไฮโดรเจน

23 มีนาคม 2509 เกิดอุบัติเหตุครั้งสำคัญที่สุด ในระหว่างเก็บกู้หัวรบขึ้นมาจากทะเล ลวดสะลิงที่ยกชิ้นส่วนขาดสะบั้น ลวดสะลิงยักษ์กระแทกไปที่ท่อเหล็กบนดาดฟ้าเรือ กระดอนไปฟาดที่ขาซ้าย (ใต้หัวเข่า) ของนักประดาน้ำกระดูกเหล็กจนเกือบขาด ฮ.นำร่างของเขาส่งโรงพยาบาลทหารอากาศในสเปนและถูกส่งต่อไปโรงพยาบาลของทหารอากาศสหรัฐ เมือง
วิสบาเดน (Wiesbaden Air Base) ในเยอรมนี ท้ายที่สุดถูกส่งตัวต่อไปที่โรงพยาบาลในรัฐเวอร์จิเนีย และในที่สุดต้องตัดขาข้างซ้ายช่วงใต้เข่า หลังจากกลายเป็นคนขาขาด เขาออกจากโรงพยาบาลเมื่อมีนาคม 2511 รวมเวลาอยู่ในโรงพยาบาลราว 2 ปี ถูกปลดออกจากนักประดาน้ำกองทัพเรือ

ผลงานระดับมหากาฬครั้งนี้ บรูห์เชียร์และทีมงานได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติชั้นสูงสุดจากกองทัพเรือและจากหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐ

ไม่มีใครทราบเลยว่าพลทหารบรูห์เชียร์แอบไปฟิตร่างกายเพื่อขอกลับเข้าประจำการในหน่วยประดาน้ำอีกครั้ง ประเด็นของจ่าเป็นเรื่องทางกฎหมายและเป็นเรื่องที่แพทย์ต้องเข้ามาร่วมพิสูจน์สมรรถภาพ กองทัพเรือสหรัฐต้องตั้งกรรมการตรวจสอบให้ความเป็นธรรม

อดีตนักประดาน้ำขาขาด สร้างความตกตะลึงในศาล ที่สามารถสวมชุดประดาน้ำขนาดหนัก (ในขณะนั้น) แล้วเดิน 12 ก้าวให้ศาลและทหารทั้งหลายได้ดูว่าขาที่ขาดมิใช่อุปสรรคในการกลับเข้าเป็นนักประดาน้ำ เขาแบกน้ำหนักของชุดประดาน้ำท่ามกลางความลุ้นระทึกของทหารหาญและเขาทำได้สำเร็จ

กติกาต้องเป็นกติกา พูดคำไหนต้องคำนั้น ชนะคือชนะและแพ้คือแพ้ พลทหารกระดูกเหล็กผ่านการพิสูจน์ ศาลสั่งให้กองทัพเรือบรรจุเขากลับเข้ารับราชการอีกครั้งในตำแหน่งนักประดาน้ำ

และเป็นคดีประวัติศาสตร์ของกองทัพสหรัฐที่มีนักประดาน้ำขาขาด ที่กองทัพกล้าเปิดเผยต่อสาธารณชนได้เรียนรู้มาจนถึงทุกวันนี้ และรับราชการต่อมาอีก 9 ปี

บรูห์เชียร์ เกษียนอายุราชการในปี พ.ศ.2522 ในชั้นยศสูงสุดของพลทหาร คือ E-9 ในตำแหน่ง Master Chief Petty Officer (E-9) and Master Diver เขาเสียชีวิตจากโรคหัวใจและระบบการหายใจล้มเหลวเมื่อ 25 กรกฎาคม 2549 ณ ศูนย์การแพทย์กองทัพเรือ เวอร์จิเนีย

ลูกชายตั้งมูลนิธิคาร์ล บรูห์เชียร์ เพื่อเป็นเกียรติให้พ่อที่ได้ทุ่มเทชีวิตปูทางให้กับคนผิวสีที่จะต้องได้รับความเท่าเทียมกับคนผิวขาว ซึ่งพลทหารผู้ยิ่งใหญ่คนนี้เคยกล่าวไว้ว่า “ไม่เป็นเรื่องบาปถ้าถูกทำให้ล้มลง แต่จะเป็นบาปที่ไม่ลุกขึ้นสู้ และจะไม่มีใครขโมยความฝันของผมไปได้”

ประวัติศาสตร์ที่ดีงามบางครั้งก็เกิดขึ้นโดยคนที่กล้าแหกกฎที่ไม่เป็นธรรม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image