“บิ๊กฉัตร”เยี่ยมอ่างลำสะพุง พระราชดำริ พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนท้ายอ่างให้ดีขึ้น

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคมพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ร่วมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิต รายได้ และ ความสุขอย่างยั่งยืน จังหวัดชัยภูมิ ณ โครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ

ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานได้น้อมนำศาสตร์พระราชา ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงห่วงใยถึงความเดือดร้อนของราษฎร โดยเฉพาะปัญหาความขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร มาเป็นแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน และจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จ- พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นำไปสู่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งมีหลายโครงการอยู่ในความดูแลของกรมชลประทาน

ด้านนายประพิศ จันทร์มา รองอธิบดีฝ่ายก่อสร้าง กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมชลประทาน ได้สนองนโยบายของรัฐบาลน้อมนำโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมาขยายผลเพิ่มเติม ซึ่งอ่างเก็บน้ำลำสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลหนองแวง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ เป็นหนึ่งในโครงการขนาดใหญ่ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำริไว้ถึง 4 ครั้ง เนื่องจากพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ มีพื้นที่ติดกับเทือกเขาดงพญาเย็น ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำแม่น้ำชี แต่มีพื้นที่เก็บกักน้ำค่อนข้างน้อย ประกอบกับลักษณะพื้นที่เป็นแอ่งกระทะ ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งเป็นประจำ โดยทรงมีพระราชดำริให้ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำหลายแห่งในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เพื่อเก็บกักน้ำในฤดูฝน รวมทั้ง เป็นการชะลอน้ำหลากลงสู่พื้นที่ตัวเมืองชัยภูมิ และเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งได้อีกด้วย

กรมชลประทาน ได้เริ่มออกแบบโครงการและศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อปี 2538 พบว่าพื้นที่ที่จะทำการก่อสร้างอยู่ในเขตป่าสงวนมากถึง 2,100 ไร่ จึงไม่สามารถดำเนินโครงการฯได้ในขณะนั้น ทำให้การก่อสร้างต้องชะลอออกไป ต่อมาในปี 2559 พล.อ.ฉัตรชัย เป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในขณะนั้น ได้หารือร่วมกับรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เร่งรัดการใช้พื้นที่พร้อมปรับแบบการก่อสร้างให้ใช้พื้นที่ป่าน้อยลง ปัจจุบันกรมชลประทานได้ทำการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ ด้านการสำรวจและออกแบบแล้วเสร็จตั้งแต่เดือนกันยายน 2561 และอยู่ระหว่างขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าไม้ถาวรตามมติ ครม. จำนวน 354 ไร่ และพื้นที่ สปก. จำนวน 3,724 ไร่ ปัจจุบันกรมชลประทานได้ผ่อนผันการขอใช้พื้นที่ในเขตป่า พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2584 เพื่อเร่งรัดการก่อสร้างให้เร็วขึ้น โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ได้ในปี 2562 ระยะเวลาการก่อสร้าง 6 ปี (ปี2562-2567) เมื่อโครงการฯ ก่อสร้างแล้วเสร็จ จะสามารถพัฒนาพื้นที่ชลประทานเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกได้ถึง 40,000 ไร่ ทั้งยังสามารถส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกในช่วงฤดูแล้งได้ประมาณ 8,000 ไร่ และส่งน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคได้อีกประมาณ 2.16 ล้าน ลบ.ม./ปี ซึ่งจะทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้านท้ายอ่างเก็บน้ำลำสะพุง รวมไปถึงพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการฯมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

Advertisement

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image