ย้อนรอยคดี ‘เจ้าสัวเปรมชัย’ ก่อนศาลฎีกาตัดสินจำคุก 2 ปี 14 เดือน

ย้อนรอยคดี ‘เจ้าสัวเปรมชัย’ ก่อนศาลฎีกาตัดสินจำคุก 2 ปี 14 เดือน

จากกรณีศาลจังหวัดทองผาภูมิอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.219/61 และคดีหมายเลขแดงที่ 62/63 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดทองผาภูมิ (โจทก์) ฟ้อง นายเปรมชัย กรรณสูตร อดีตประธานกรรมการ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์, นายยงค์ โดดเครือ คนขับรถ, นางนที เรียมแสน แม่ครัว และ นายธานี ทุมมาศ พรานป่า เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ฐานร่วมกันล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ฐานร่วมกันมีไว้ครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ฐานร่วมกันช่วยซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสีย หรือรับไว้ซึ่งซากสัตว์ป่าอันได้มาโดยกระทำความผิดกฎหมาย และฐานร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต กรณีเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2561 จำเลยได้ร่วมกันเข้าไปในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เขตตะวันตก จ.กาญจนบุรี แล้วร่วมกันฆ่าเสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทา ซึ่งเป็นสัตว์ป่าสงวนเพื่อเป็นอาหาร

โดยศาลฎีกาได้สั่งจำคุกนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 จำนวน 2 ปี 14 เดือน, นายยงค์ จำเลยที่ 2 คงจำคุก 2 ปี 9 เดือน และนายธานี จำเลยที่ 4 คงจำคุก 2 ปี 13 เดือน ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 2 ล้านบาทตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ แต่ให้ปรับแก้ไขดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่

สำหรับคดีนี้ เป็นคดีที่โด่งดัง ประชาชน และสังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง จึงเป็นที่จับตามองเป็นพิเศษ โดยมีการต่อสู้คดีกันมาอย่างยาวนานเกือบ 4 ปี ประชาชนจึงเฝ้ารอคอยฟังคำตัดสินว่า ในวันนี้ศาลจะพิพากษาว่าอย่างไร

Advertisement

จากกรณี นายวิเชียร ชิณวงษ์ อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก นำกำลังเข้าจับกุม นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวกรวม 4 คน ขณะเข้าไปล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ท้องที่ ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี พร้อมยึดของกลางประกอบด้วยซากเสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทา เก้ง พร้อมอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก เหตุเกิดระหว่างวันที่ 4-6 ก.พ. 2561

แฟ้มภาพ

ต่อมาวันที่ 19 มี.ค.62 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษ จำเลยที่ 1 นายเปรมชัย กรรณสูต จำคุก 16 เดือน ไม่รอลงอาญา จากข้อหาดังนี้ 1.ข้อหาร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต พิพากษา จำคุก 6 เดือน 2.ข้อหาล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ 3.ข้อหาร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ (กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักที่สุด) จำคุก 8 เดือน 4.ข้อหาร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และ 5.ข้อหาร่วมกันซ่อนเร้นซึ่งซากสัตว์ป่าอันได้มาโดยกระทำความผิดกฎหมาย (กรรมเดียวเป็นความผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักที่สุด) จำคุก 2 เดือน

จำเลยที่ 2 นายยงค์ โดดเครือ ถูกลงโทษจำคุก 13 เดือน จำเลยที่ 3 นางนที เรียมแสนจำคุก 4 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอรอลงอาญา มีกำหนด 2 ปี จำเลยที่ 4 นายธานี ทุมมาศ รวมโทษจำคุก 2 ปี 17 เดือน และให้จำเลยที่ 1 (นายเปรมชัย กรรณสูต) กับจำเลยที่ 4 (นายธานี ทุมมาศ)ร่วมกันชำระค่าเสียหาย 2 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ก.พ. 2561 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

Advertisement

โดย นายเปรมชัย และนายยงค์ โดดเครือ ยื่นหลักทรัพย์คนละ 4 แสนบาท นายธานี ทุมมาศ ยื่นหลักทรัพย์ 5 แสนบาท เพื่อประกันตัวสู้คดีในชั้นอุทธรณ์

แฟ้มภาพ

จากนั้นวันที่ 12 ธ.ค.62 ศาลจังหวัดทองผาภูมิ อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 โดยพิพากษายืนความผิดของจำเลยตามศาลชั้นต้น พร้อมเพิ่มโทษ นายเปรมชัย กรรณสูต จำเลยที่ 1 เป็นจำคุก 2 ปี 14 เดือน นายยงค์ โดดเครือ เพิ่มโทษเป็นจำคุก 2 ปี 17 เดือน นางนที เรียมแสน เพิ่มโทษเป็นจำคุก 1 ปี 8 เดือน ปรับเงิน 40,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี ส่วน นายธานี ทุมมาศ เพิ่มโทษเป็นจำคุก 2 ปี 21 เดือน พร้อมทั้งให้จำเลยทั้ง 4 คนร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชจำนวนเงินรวม 2 ล้านบาท ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากนี้ศาลยังมีคำสั่งให้เพิ่มหลักทรัพย์ประกันกันตัวจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 อีกคนละ 2 แสนบาท

วันที่ 1 เม.ย.63 นายเปรมชัย กรรณสูต จำเลยที่ 1 นายยงค์ โดดเครือ จำเลยที่ 2 และนายธานี ทุมมาศ จำเลยที่ 4 ได้ยื่นคำร้องขอฎีกาโดยผู้พิพากษาได้รับรองอนุญาตให้จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ส่วน นางนที เรียมแสน แม่ครัว จำเลยที่3 คดียุติตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 เนื่องจากอัยการโจทก์และจำเลยไม่ติดใจยื่นฎีกา คดีจึงถือว่าสิ้นสุด

ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image