‘กอบศักดิ์’ ชู 3 โอกาสทอง ปั้น ‘ประเทศไทย’ ฮับลงทุนภูมิภาคอาเซียน

‘กอบศักดิ์’ ชู 3 โอกาสทอง ปั้น ‘ประเทศไทย’ ฮับลงทุนภูมิภาคอาเซียน

เมื่อวันที่ 25 มกราคม เวลา 09.10 น. ที่ห้องอินฟินิตี้ 1-2 โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ เครือมติชน ได้แก่ มติชน ข่าวสด และ ประชาชาติธุรกิจ จัดเสวนาวาระก้าวสู่ปีที่ 46 ในหัวข้อ “Thailand : New Episode บทใหม่ประเทศไทย 2023” โดยนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทยและกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวเปิดเสวนาในหัวข้อ “Thailand opportunity”ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2566 มีคำถามสำคัญอย่างน้อย 2 เรื่อง คือ ความผันผวนระยะสั้นจะรับมืออย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อส่งออกไม่ได้ จะผ่านช่วงนี้ไปได้อย่างไร จะหมุนภาคส่งออกจากที่ส่งไปที่สหรัฐ ยุโรป ไปที่ไหน จะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจไทยพอจะผ่านไปได้ จะพึ่งพาท่องเที่ยวให้เข้มแข็งมากขึ้นอย่างไร และที่สำคัญมีอีกคำถามหนึ่งที่เวลาดูภาพเศรษฐกิจปีที่ผ่านมา ปัญหาเฉพาะหน้าเต็มไปหมด ไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ แต่เมื่อปัญหาเฉพาะหน้าเริ่มดีขึ้น ถึงเวลาแล้วที่ไทยจะต้องเริ่มคิดต่อไปว่าจะเตรียมการเพื่ออนาคตหลังวิกฤตอย่างไร

“วิกฤตอย่างไรก็จบ ไม่เคยมีวิกฤตไหนที่อยู่ตลอดไป (forever) เพราะได้ผ่านวิกฤตวิกฤตปี 40 วิกฤตซับไพรม์ วิกฤตพลังงานโลก ทุกอย่างฟื้นหมด แม้กระทั่งวิกฤตต้มยำกุ้งที่คิดว่าจะไม่ฟื้นก็ยังฟื้น เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจโลกก็จะฟื้น แต่ว่าเมื่อฟื้นแล้วจะเตรียมการอย่างไร จุดนี้เป็นโอกาสยิ่งใหญ่อยู่ข้างหน้า โอกาสที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยกำลังอยู่ข้างหน้า แต่จะหยิบฉวยโอกาสเป็นของเราได้หรือไม่ อันนั้นคือคำถาม”นายกอบศักดิ์กล่าว

ปี 2566 มี 3 โอกาส โอกาสแรก คือ การลงทุนปี 2566 คือโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุด และทุกคนไม่ควรพลาด เพราะว่าเวลาตลาดตกลงคือตลาดหมี(หุ้นซึม ขาลง) จะตามมาด้วยตลาดกระทิง ซึ่งตลาดหมีบางครั้งตกที่ 29% ตลาดกระทิง (ตลาดพุ่ง) ขึ้น 76% หมายความว่านี่คือโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุดที่ไม่ควรพลาด หากพลาดช่วงนี้จะต้องรออีกหลายรอบกว่าที่จะมาถึงจังหวะนี้อีกครั้งหนึ่ง อยากให้ดูว่าวิกฤตไม่ต้องจบ แต่ตลาดสามารถรีบาวน์ได้

Advertisement

“ตัวอย่างปี 2551 ตอนวิกฤตซับไพรม์ตกหนักตอนเกิดเลห์แมน บราเธอร์ส สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ประกาศล้มละลาย หลังจากนั้นลงมาต่อเนื่องจนกระทั่งสหรัฐได้ทำสเตรทเทสต์ (ทดสอบความเสี่ยง) เสร็จแล้ว ไม่มีแบงก์ไหนล้มเพิ่ม หลังจากนั้นตลาดความเชื่อมั่นขึ้นไปจากระดับล่างขึ้นไปต่อเนื่องใน 6 เดือน แต่วิกฤตซับไพรม์ยังต่อเป็นปี แต่ตลาดก็ได้ปรับขึ้น”นายกอบศักดิ์กล่าว

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า เพราะฉะนั้นจากปีที่แล้ว ชอบเตือนให้ทุกคนเข้าหลุมหลบภัย เปิดไซเรน แต่ปีนี้อยากจะบอกทุกคนว่าถึงเวลาเปิดฝาหลุมแล้วควรออกดูโลกว่าโอกาสอยู่ตรงไหนและเริ่มแย้มประตูออกไปดูว่าสินทรัพย์ต่างๆ กำลังปรับตัวอย่างไรบ้าง เพราะเวลาตลาดหมีเกิดภาวะถดถอย ตลาดจะตกประมาณ 30% และ 1 ปีให้หลังรีเทิร์นอย่างน้อย 50% หมายถึงว่าทุกราคาที่ซื้อขณะนี้ 2 ปีให้หลังน่าจะไปได้ดี เป็นผลตอบแทนที่ดี

Advertisement

เช่น ช่วงมกราคม 2565 หุ้นกูเกิล เป็นหุ้นเทคโนโลยีลงมาจาก 150% เคยลงมาที่ 80% แต่ช่วงหลังเริ่มปรับตัว เริ่มไปได้ดีระดับหนึ่ง ก็เป็นโอกาสลงทุนที่น่าสนใจ จึงถึงเวลาต้องออกไปนั่งดู แต่ที่น่าเสียดายหุ้นไทยไม่ค่อยตก แต่หุ้นต่างชาติตก โอกาสจึงอยู่ที่หุ้นต่างชาติที่น่าลงทุน และปีนี้เป็นปีที่น่าสนใจอย่างยิ่งเรื่องขอการลงทุน

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า โอกาสที่สอง การเป็นฮับของภูมิภาค เป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะวางอนาคตให้ประเทศไทยก้าวไปอีกระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุด เพราะทุกคนมองทะลุว่าเอเชียคือเป้าหมายของตลาดทั้งหมด เพราะขณะนี้มีมหาเศรษฐีกว่า 950 คน มากที่สุดในโลก หมายความคนที่รวยที่สุดของโลกกำลังอยู่ที่เอเชีย จะขายของแบรนด์เนมก็ต้องขายที่เอเชีย

“แต่ปัญหาคือสงครามที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว กำลังมีผลต่อเนื่อง กำลังทำให้เอเชียที่เป็นเป้าหมายของทุกคนเข้ายากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่ารัสเซียเป็นไปไม่ได้แล้ว ผมเชื่อคงไม่เผาผีกัน คงอีกนานเลย จีนก็เช่นเดียวกัน แม้จะพูดดีแต่ปัญหาจีนกับสหรัฐเป็นปัญหาที่ลึกซึ้ง ขณะนี้ได้ยินว่าบริษัทของสหรัฐหรือแม้กระทั่งของบริษัทจีนก็ทยอยออกมามากขึ้น ขณะนี้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐ จะค่อยๆแย่ลงเรื่อยๆ“ นายกอบศักดิ์กล่าว

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า เวลานี้เมืองจีนไม่ง่าย เพราะจีนยังเป็นเครื่องหมายคำถามสำหรับทุกคน ที่เหลือจะมีอินเดียกับอาเซียน แต่อินเดียทำธุรกิจยาก อีกทั้งคนที่ไปทำธุรกิจที่อินเดียน้อยคนที่จะได้กำไร แต่ภูมิภาคที่น่าสนใจที่สุดก็คืออาเซียน ซึ่งลองคิดถึงกำแพงเมืองกำแพงเก่าๆ มี 4 ทิศ ทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก มีปิดไป 3 ทิศ รัสเซียปิดไปแล้ว เมืองจีนกำลังปิด อินเดียก็ไม่ง่าย เหลือที่ง่ายสุดคืออาเซียน เฟรนด์ลี่ที่สุด น่าสนใจที่สุด เป็นที่ที่กำไรที่สุดสำหรับบริษัทต่างๆ ขณะนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่บริษัทเริ่มหลั่งไหลมาลงทุน ส่งทีมต่างๆมาดูพื้นที่อย่างเต็มที่ เพราะถ้ามาจุดนี้ได้จะสามารถทำการผลิตและตีตลาดเอเชียทั้งหมดได้ เพราะลิงก์กัน โดยเฉพาะประเทศไทย เป็นโอกาสอย่างยิ่งของไทย

“ขณะนี้มีการขอลงทุนโครงการต่างๆ เช่น โรงงานไฟฟ้า การขยายกิจการ ทำโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งหมดภายใน 5 ปี จะเปลี่ยนทุกอย่างของอาเซียน นี่คือโอกาส ทุกอย่างกำลังจะเกิดขึ้น เพียงแต่ว่าท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง มี 2 ความท้าทายที่เกิดขึ้นมา คือ เทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนผ่าน โครงสร้างใหม่ที่กำลังลงไปเกิดขึ้น พร้อมกับบุญเก่าที่กำลังหมดไปของประเทศไทยด้วย มีหลายอุตสาหกรรมที่เคยพึ่งพาในอดีต ทั้งยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดดิสก์ โรงเหล็ก อาหาร กำลังถูกทดแทน โดยรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) คลาวด์ วัสดุใหม่ๆ ที่ผลิตปราศจากคาร์บอน ต่ำ อาหารที่กำลังเป็นเนื้อเทียม“นายกอบศักดิ์กล่าว

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า จึงเป็นข้อกังวลใจ เพราะว่าโอกาสกำลังเข้ามา แต่ว่าบุญกำลังจะหมด และที่สำคัญการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ (FDI) ที่กำลังเข้าอาเซียน ประเทศเวียดนามได้ไป 3 เท่าของประเทศไทย ทุก 1 โรงงานที่ไทยได้ เวียดนามจะได้ไป 3 โรงงาน อินโดนีเซีย ก็ได้เช่นกัน มากกว่าประเทศไทย วันนี้ยังไม่เห็นผล แต่ในอนาคตเมื่อโครงสร้างเหล่านั้นเสร็จจะกลายเป็นโครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่ในอนาคตที่จะเป็นฐานที่ใช้ต่อไป ทั้งหมดจึงเป็นโอกาสที่จะสามารถดึงมาเป็นของไทยได้หรือไม่

“มีหลากหลายที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือการเป็นฮับของภูมิภาค เราไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่าง แต่การเป็นฮับต้องอยู่ที่เมืองไทย เราต้องเป็นเหมือนนิวยอร์กให้ได้ ขณะที่ทุกคนกำลังมาเมืองไทยกำลังมีอินฟราสตรัคเจอร์ที่สำคัญเกิดขึ้น กำลังสร้างศูนย์กลางทางธุรกิจหรือซีบีดีใหม่ๆ จะเสร็จใน 5 ปี ขณะเดียวกันรถไฟใต้ดินจะเสร็จเช่นเดียวกันจะทำให้กรุงเทพฯ รวมถึงการขยายสุวรรณภูมิ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทำให้ไทยเป็นตัวเลือกแรกในการที่เขาจะย้ายฐานเข้าสู่จุดนี้ สร้างเป็นสำนักงานใหญ่ ศูนย์กลางต่างๆ ทั้งวิจัย การแพทย์ โลจิสติกส์ ทั้งหมดนี้อยู่ในเรื่องของไทยทั้งหมด แต่หัวใจคือจะเปลี่ยนตัวเองไปถึงจุดนั่นอย่างไร จะเปลี่ยนเรื่องการเข้าเมือง นโยบายเรื่องคน โครงสร้าง จะทำให้เมืองไทยน่าสนใจ โดยมีเวสเทิร์นเกตเวย์ คือ ท่าเรือน้ำลึกฝั่งตะวันตกได้หรือไม่ เพราะในอนาคตโอกาสของอินเดียจะมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือโอกาสของเรา” นายกอบศักดิ์กล่าว

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ประเทศไทยจะเป็นฮับของสตาร์ตอัพได้หรือไม่ เพราะความจริงสตาร์ตอัพอยู่เมืองไทยเยอะมาก แต่เมื่อถึงเวลาจดทะเบียนไปอยู่ที่สิงคโปร์และไทยต้องทำให้เขาเข้ามาให้ได้ เพราะหากอยู่เมืองไทยมีความคุ้ม และเขาเข้ามาอยู่พื้นที่ภูเก็ต เชียงใหม่ แต่ทำอย่างไรจะเอาเขาออกมาสู่พื้นที่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เอาเด็กไทยเข้าไปทำงานร่วม ถือเป็นโจทย์สำคัญที่สุด เพราะในอนาคต ตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ 10 อันดับแรก คือ เทคคอมพานี ประเทศไทยขณะนี้น่ากังวลใจ เพราะบ้านของสตาร์ตอัพไม่ได้อยู่ที่ไทย อยู่ที่ซิลิคอนวัลเลย์ บอสตัน อิสราเอล สิงคโปร์ อินเดีย แต่เมืองไทยลดลงเรื่อยๆ ขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมการเข้าสู่โลกของเทคโนโลยี เป็นสิ่งที่เราต้องแก้ กฎหมาย การปรับปรุงโครงสร้าง การสนับสนุนเด็กเหล่านี้ให้กลายเป็นผู้พัฒนาสตาร์ตอัพของไทยต่อไป ซึ่งเราทำได้ เพียงแต่จะทำหรือไม่

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า สุดท้ายคือโอกาสก้าวออกสู่ภูมิภาค นอกจากจะเป็นฮับแล้ว บริษัทของคนไทยเป็นโอกาสสำคัญจะก้าวไปสู่การยึดครองภูมิภาค อย่างแรกนี่คือภาพจากเวียดนามที่เป็นตลาดซื้อขายครึ่งหนึ่งเป็นสินค้าจากไทย เพราะชอบสินค้าไทย แต่ไทยไปได้ไกลกว่านั้น อยากให้นักธุรกิจไทยให้คิดถึงเรื่องการย้ายฐานไปตั้งที่นั้น ซึ่งไทยมีโอกาสไปได้ไกลกว่า ประเทศ CLMV อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์กำลังมา ด้านบังกลาเทศก็น่าสนใจเช่นกัน และสุดท้ายกัดฟันไปสู้ที่เมืองอินเดียกัน เพราะคิดว่าสุดท้ายอินเดียก็เป็นอีกที่ที่ควรไป และไม่ควรปล่อยมือไปได้ ต่อให้ยากแค่ไหนก็ไปบุกให้ได้ ยิ่งยากยิ่งดี ถ้าเราทำได้จะเป็นโอกาสที่ดีของไทย

“ทั้งหมด นี่คือโอกาสที่กำลังรอเราอยู่ หัวใจสำคัญที่สุด คือ ทำโอกาสที่เกิดขึ้นเป็นของเรา ซึ่งสำหรับประเทศไทยเราจะไปถึงจุดนั้น โค้งสำคัญที่สุด จะกำหนดว่าประเทศไทยจะเป็นใครใน 10 ปีนี้” นายกอบศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย

อ่านข่าวเกี่ยวข้อง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image