เงินบาทเปิด 33.55 ‘อ่อนค่า’ จับตาฟันด์โฟลว์ หลังนักลงทุนลุยขายสินทรัพย์ไทยต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.55 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าลงจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 33.79 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.30-34.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.35-33.65 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นายพูน กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินยังคงถูกกดดันจากความกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ล่าสุดผู้เล่นในตลาดคาดเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยถึงระดับ 5.25% ส่วนสัปดาห์นี้ ควรระวังความเสี่ยงตลาดปรับมุมมองแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด หากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐ (CPI) ไม่ได้ชะลอลงตามคาด ทั้งนี้ ตลาดจะรอจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด, ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี)
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท ประเมินว่ามีความเสี่ยงอ่อนค่าต่อ และอาจทดสอบแนวต้านสำคัญ 34.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ได้ไม่ยาก หากเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้นต่อ พร้อมการปรับตัวลงของราคาทองคำ ทั้งนี้ ควรจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หลังยังคงเดินหน้าขายสุทธิสินทรัพย์ไทยต่อเนื่องในสัปดาห์ก่อนหน้า นอกจากนี้ หากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจยิ่งสร้างแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้ (ราคาพลังงานสูง กดดันดุลการค้า เนื่องจากประเทศไทย เป็น Net Importer พลังงาน)
นายพูน กล่าวว่า หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านที่ประเมินไว้ มองว่าในภาวะตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) มีโอกาสอ่อนค่าใกล้ระดับ 34.20 บาทต่อเหรียญสหรัฐได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเป็นไปได้ หากฝั่งผู้ส่งออกมีการปรับมุมมองต่อเงินบาท อาทิ ผู้ส่งออกไม่เร่งรีบขายเงินเหรียญสหรัฐและมองว่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง หลังปรับตัวอ่อนค่าทะลุ 34.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ดี มองว่าโซน 34.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อาจเป็นจุดที่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่มีสถานะ Long USDTHB (ตั้งแต่การพลิกกลับมาอ่อนค่าเหนือระดับ 32.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ) ใช้เป็นจุดในการทยอยขายทำกำไรหรือปิดสถานะ Long USDTHB บางส่วนได้ ซึ่งการปรับสถานะดังกล่าวก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง
นายพูน กล่าวว่า ในส่วนเงินเหรียญสหรัฐมองว่ามีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้ หากตลาดเริ่มมองธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่า 5.25% ซึ่งต้องรอลุ้นภาพอัตราเงินเฟ้อโดยเฉพาะในส่วนอัตราเงินเฟ้อจากภาคการบริการ อนึ่ง การแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐอาจถูกชะลอลงได้บ้าง หากตลาดยังคาดหวังการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยจากทั้งธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี)
ทั้งนี้ สำหรับเศรษฐกิจไทยตลาดประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ของปีก่อนหน้า อาจขยายตัวราว 3.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน หนุนโดยการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ ขณะที่การค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในฝั่งการส่งออกอาจขยายตัวได้ไม่ดีมากนัก ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ข่าวน่าสนใจอื่น:
- เปิด 4 ราศี มีเกณฑ์ ถูกลอตเตอรี่ ส่วนใครบ้างเช็กเลย!
- กรมบังคับคดี ชี้แจงกรณีเป็นหนี้แค่ 5 แสนบาท ถูกบังคับขายที่ดินใช้หนี้กว่า 11 ไร่
- มะระผัดไข่-แกงล้นถ้วยเอฟเฟ็กต์ ‘การบินไทย’ น้อมรับคำติชม ยินดีปรับการจัดวาง
- หมอลิลลี่ เตือนภัย ถูกตัดเงินเกือบแสนจากบัตรเครดิตแบงก์ดัง งงกว่าเดิม คนโดนเยอะมาก
- ศาลปกครองนครราชสีมา พิพากษาเพิกถอนโฉนดที่ดินเกือบ 2 พันไร่