‘ตลท.’ แจงหุ้นดิ่ง 49 จุด เหตุนักลงทุนโอเวอร์รีแอค ทำดัชนีแตะจุดต่ำสุดตั้งแต่เดือน ส.ค. 64
เมื่อวันที่ 14 มีนาคม นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากกรณีการปิดธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) รวมถึงธนาคารซิกเนอเจอร์ แบงก์ (Signature Bank) ที่ถูกสั่งปิดไปในสหรัฐนั้น ประเมินนโยบายที่รัฐบาลออกมาช่วยเหลือค่อนข้างเข้มแข็งมาก อาทิ การรับประกันเงินฝาก ลูกค้าที่ฝากเงินไว้จะได้รับเงินคืน 100% แน่นอน ทำให้ภาพตลาดหุ้นไทย ที่ดัชนีปรับระดับลงลึกนั้น ถือเป็นภาวะโอเวอร์รีแอคชั่น เนื่องจากกลุ่มนักลงทุนที่ขายสุทธิมากสุด เป็นสถาบันในประเทศ 2,442.04 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติ 4,727.13 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายยย่อยเข้าซื้อ 9,770.89 ล้านบาท โดยดัชนีหุ้นไทยปิดต่ำสุด นับตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2564 ที่ปิดระดับ 1,521.72 จุด
ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงของดัชนีหุ้นเกือบ 50 จุดนั้น ก็เป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วเอเชียที่ปรับตัวลงเฉลี่ย 2-3% และราคาน้ำมันเบรนท์ที่ปรับตัวลงมาถึง 2.1% กดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน คิดเป็นน้ำหนัก 20% ในตลาดรวม ส่วนหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ 15% หุ้นแบงก์ 15% ที่ปรับลงจากความกังวลว่า เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้ช้า หลังจากดอกเบี้ยทั่วโลกสูงขึ้น และสภาพคล่องลดลง ซึ่งจะเห็นว่าด้วยน้ำหนักของหุ้น 3 กลุ่มนี้ที่มีรวมกันเกิน 50% แล้ว จึงเป็นกลุ่มใหญ่ที่กดดันดัชนี
นายภากร กล่าวว่า ในช่วงท้ายก่อนปิดตลาดที่ดัชนีปรับระดับลงลึกกว่าเดิมนั้น เป็นเพราะตลาดหุ้นไทยถือเป็นตลาดเดียวที่มีสถาพคล่องสูงและยังเปิดทำการอยู่ โดยเชื่อว่าเมื่อตลาดเปิดทำการในรอบถัดไปนั้น ภาพจะดูดีขึ้น สะท้อนจากตลาดหุ้นอื่นๆ ที่เปิดมาไม่ได้แพนิกกว่าเดิมแล้ว อาทิ ตลาดหุ้นยุโรป โดยกรณีที่แรงขายอยู่ในรายย่อย แต่แรงขายเกิดจากนักลงทุนสถาบันและต่างชาติ ที่มีข้อมูลเชิงลึกมากกว่ารายย่อยนั้น มองว่าเมื่อเกิดบรรยากาศที่ต้องขายสุทธินั้น จะเป็นการขายเหมือนกันทั่วทั้งโลก เพราะอาจเป็นจุดที่ต้องการดึงสภาพคล่องคืน เมื่อมีความไม่แน่นอน รวมถึงดัชนีหุ้นที่ปรับลดลงลึกตอนนี้ ก็ยังไม่ถึงขั้นต้องหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วย เพราะราคายังไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงเกินระดับที่กำหนดไว้
“การลงของดัชนียังไม่ได้อยู่ในจุดที่มากเกินปกติในแต่ละวัน ซึ่งหากมีการปรับลดลงเกินนั้น จะมีการรายงานระหว่างกันของระดับผู้บริหารอยู่แล้ว โดยสาเหตุที่นักลงทุนเกิดการโอเวอร์รีแอคชั่น ก็เป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในฝั่งสหรัฐและยุโรป ไม่ได้อยู่ในฝั่งเอเชีย ซึ่งด้วยความที่เรายังไม่รู้ว่าภาพจออกมาอย่างไร ทำให้เกิดการคาดเดาในแง่ต่างๆ ออกมาได้” นายภากร กล่าว
นายภากร กล่าวว่า หากประเมินปัจจัยที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ ความไม่แน่นอนเรื่องโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครนจะลดลง แต่มีความไม่แน่นอนของสภาพคล่องที่ลดลง และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้น และเงินทุนหมุนเวียนมากกว่าปี 2565 โดยต้องติดตามตัวเลขข้อมูล เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย สภาพคล่องของตลาดเงินทั่วโลกให้ดี เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นสูงมาก รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ที่น่าจะฟื้นตัวได้ไม่เท่ากัน ขณะที่มองไทยจะฟื้นตัวได้ดีกว่าปี 2565 จากภาคท่องเที่ยว บริโภค โรงแรม โรงพยาบาล อาหารต่างๆ ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทย
นายภากร กล่าวว่า สำหรับในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา นักลงทุนสถาบันประเภทกองทุนในประเทศหายไปค่อนข้างมาก เนื่องจากเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) หายไปหรือไม่นั้น เพราะทำให้ไทยไม่มีเม็ดเงินเข้าไปรองรับได้มากเท่าที่ควร โดยมองว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ความสามารถลงทุนของนักลงทุนไทยประเภทกองทุนหายไปค่อนข้างมาก จากการที่เราไม่ได้มีกองทุนแอลทีเอฟอยู่ในตลาด เป็นสิ่งที่ทำให้เมื่อมีโอกาสเข้ามาลงทุนระยะยาวผ่านกองทุนรวมก็หายไปมาก เนื่องจากไม่ได้มีสิทธิพิเศษเพิ่มเติม โดยตลท.จะทำงานตลาดร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) ต่อไป
นายศรพล ตุลยเสภียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท. กล่าวว่า 3 สาเหตุหลักที่ต้องเน้นย้ำคือ 1.สาเหตุที่ทำให้แบงก์สหรัฐต้องปิดตัวลงนั้น เป็นลักษณะของแต่ละแบงก์ ไม่ได้เป็นแบบทั่วไปในสถาบันการเงินทั้งหมด 2.เห็นความรวดเร็วของมาตรการจากรัฐบาลสหรัฐ ที่น่าจะช่วยให้วิกฤตของแบงก์สหรัฐครั้งนี้ไม่ลามออกไป แต่ยังต้องติดตามต่อว่าจะมีมาตรการเพิ่มเติมอย่างไร และ 3.สถาบันการเงินของไทยยังมีความเข้มแข็งมาก มีการกระจายลงทุนในหลายกลุ่ม จึงไม่อยากให้นักลงทุนตื่นตระหนก (แพนิก) มากจนเกินไป เพราะตอนนี้ก็เริ่มเห็นสัญญาณที่เป็นบวกมากขึ้นแล้ว ทั้งฝั่งตลาดสหรัฐ และยุโรปด้วย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง