กู้แบงก์ไม่ผ่านลาม ‘ธุรกิจรับสร้างบ้าน’ มากสุดราคา 2-5 ล้าน

แฟ้มภาพ

กู้แบงก์ไม่ผ่านลาม ‘ธุรกิจรับสร้างบ้าน’ มากสุดราคา 2-5 ล้าน

นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านปี 2567 ยังมีความไม่แน่นอนสูงจากความท้าทายเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย หนี้ครัวเรือนที่ยังสูง อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกให้เห็นในเรื่องการท่องเที่ยวที่ปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากปี 2566 อยู่ที่ 28 ล้านคน เป็น 35-38 ล้านคน จากแรงหนุนมาตรการฟรีวีซ่า การส่งออกเริ่มฟื้นตัว การลงทุนใหม่ๆ จะเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐและคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอยู่ที่ 3-3.5% โดยที่ยังไม่มีโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต แต่ถ้ามีน่าจะขยายตัวได้มากกว่านี้

นายสุธีกล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2566 ที่ทำได้ 1,100 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากบริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 25 ล้านบาทขึ้นไปประมาณ 250 ล้านบาท, บริษัท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 10-25 ล้านบาท ประมาณ 350 ล้านบาท และบริษัท สมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 2-10 ล้านบาท ประมาณ 600 ล้านบาท และถือว่าเป็นฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุด

นายสุธีกล่าวอีกว่า ปี 2566 ที่ผ่านมามีลูกค้าเซ็นสัญญาไป 172 หลัง ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างบ้านให้ลูกค้า 250 หลัง ราคาตั้งแต่ 2-60 ล้านบาท รวมมูลค่า 1,375 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยแบบบ้านที่ลูกค้านิยมเป็นราคา 5.5 ล้านบาท

Advertisement

“ปี 2566 ต้นปีเราตั้งเป้าไว้ 1,200 ล้านบาท เพราะคิดว่าหลังโควิดเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่ไตรมาส 3 ตลาดเริ่มแผ่วประมาณหนึ่ง และแผ่วมากขึ้นในไตรมาส 4 เพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่และภาวะเศรษฐกิจโลกไม่ดี ประกอบกับลูกค้าบางรายกู้แบงก์ไม่ผ่าน หรือกู้ได้ไม่ถึง 100% ส่งผลต่อการชะลอตัดสินใจสร้างบ้าน คิดเป็นสัดส่วน 10-15% ส่วนใหญ่เป็นบ้านราคา 2-8 ล้านบาท แต่มากสุดเป็นราคา 2-5 ล้านบาท ทำให้ปี 2566 ปิดรายได้แค่ 1,100 ล้านบาท สำหรับปีนี้หวังว่าจะดีขึ้น” นายสุธีกล่าว

นายสุธีกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ค่าแรงจะปรับขึ้นมา 3-4% แต่ถือว่ายังน้อย ทำให้ในปีนี้บริษัทชะลอการปรับขึ้นราคาค่าก่อสร้างบ้านไว้ก่อน จากเมื่อปลายปี 2566 ตั้งเป้าจะปรับขึ้น 5% อย่างไรก็ดี ถ้าในเดือนเมษายนนี้รัฐปรับขึ้นค่าแรงอีก คงต้องกลับมาทบทวนราคากันอีกครั้ง ซึ่งค่าแรงคิดเป็น 30% ของต้นทุนก่อสร้างบ้าน แม้ว่าค่าแรงที่บริษัทจ่ายในปัจจุบันจะเกิน 400 บาทไปแล้ว แต่ค่าแรงจะไปกระทบกับราคาวัสดุก่อสร้าง ทั้งนี้ ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้ไม่สามารถสร้างบ้านในราคา 2 ล้านบาทได้แล้ว อย่างน้อยต้อง 3 ล้านบาทขึ้นไป แต่เพื่อรักษาฐานกลุ่มลูกค้านี้ไว้ บริษัทได้ออกแบบบ้านราคา 2 ล้านบาทมารองรับตลาด

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image