ทีดีอาร์ไอ เตือนนายกฯ ปรามทีมงานอย่าทะเลาะแบงก์ชาติ ชี้บทเรียน ตปท.นายกลาออกก็มีให้เห็น
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่โรงแรมคิง เพาเวอร์ รางน้ำ สำนักข่าวประชาชาติธุรกิจ จัดงานสัมมนา Prachachat Business Forum 2024 ฝ่าพายุความเปลี่ยนแปลง โดย นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) บรรยายพิเศษในหัวข้อ Unlocked Thailand โดยตอนหนึ่งได้กล่าวถึงการปลดล็อกการทำงานของประเทศไทยที่ชอบทดลองโดยไม่เรียนรู้ ซึ่งได้ยก 2 เรื่องที่สำคัญ
นายสมเกียรติกล่าวว่า คือ 1.การจ่ายเงินดิจิทัล และไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต เพราะไม่ใช่การแจกเงินครั้งแรกในประเทศไทย ไม่ใช่การจ่ายเงินครั้งแรกในโลก และไม่ทราบว่าจะยังแจกกันอยู่หรือเปล่า แต่การจ่ายเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อคิดกันมาแล้วแทบทุกรูปแบบตั้งแต่เงินผันคึกฤทธิ์ เงินกำลังจะหมดไปสมัยทักษิณ 1 เช็คช่วยชาติไปจนถึงเราชนะ ในสมัยนายกฯตู่ ก็มีเรื่องของคนละครึ่งเที่ยวด้วยกัน และรัฐบาลปัจจุบันจะทำเงินดิจิทัล
“ประสบการณ์ต่างๆ จะช่วยให้การวางแผนดีขึ้นและทำงานกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นผลสำเร็จ คือการดูบทเรียนในอดีต ไม่ใช่เฉพาะบทเรียนในประเทศไทย แต่มีบทเรียนในต่างประเทศรวมด้วย” นายสมเกียรติกล่าว
นายสมเกียรติกล่าวว่า กรณีของประเทศไทยถ้าไปศึกษาดูพบว่าตัวคูณทางเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นจากการอัดฉีดเงินมันไม่ได้สูงอย่างที่รัฐบาลปัจจุบันคาดการณ์ไว้ ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ต้องถึงตอนเวลาทำจริงถึงจะรู้กัน แต่ถ้าเตรียมพร้อมให้ดีโดยการไปเรียนรู้ข้อมูลจากอดีตก่อน ซึ่งตัวคูณเศรษฐกิจของการแจกเงินถ้าเป็นการแจกเงินสำหรับคนทั่วไปจะประมาณที่ 0.4-0.5 ดังนั้น ไม่ได้สูงขึ้นเป็นดั่งลมพายุตามที่รัฐบาลพูดกันว่าจะหมุนถึง 4-5 รอบ
เช่นเดียวกันกับในต่างประเทศลมพายุจากการแจกเงินก็ไม่ได้เกิดขึ้นยกเว้นในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำจริงๆ ตัวคูณของสหรัฐก็คือใส่เงินเข้าไป 1 บาท หรือ 1 ดอลลาร์ จะทำให้เกิดจีดีพีกี่ดอลลาร์นั้น ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับ 1% หรือต่ำกว่า 1% ด้วยซ้ำ
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่คิดให้ดีและการจ่ายเงินโดยไม่รักษาวินัยการคลังก็จะมีตัวอย่างจากบทเรียนทั่วโลกว่ามีความเสี่ยงสูงได้ จากการศึกษาพบว่าถ้าเกิดรัฐบาลไม่รักษาภาวะทางการคลังให้ดีไปกระตุ้นเศรษฐกิจและหนี้สาธารณะพุ่งขึ้นมา ประเด็นที่จะตามมาก็คือเอกชนจะถูกลดเครดิตเรตติ้งไปด้วย ตามการลดเครดิตเรตติ้งของประเทศ ซึ่งอันนี้เป็นปัญหาที่น่ากังวลและอยากให้คิดในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น
”อีกทั้งอยากให้เห็นบทเรียนของการที่รัฐบาลชอบไปมีปัญหากับธนาคารกลาง ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วทั่วโลกก็อยากให้ท่านนายกช่วยปรามทีมงานของท่าน อย่าเที่ยวไปทะเลาะหรือแอคแท็กธนาคารกลาง ซึ่งต่างคนต่างทำหน้าที่ความเห็นต่างกันเป็นเรื่องไม่แปลก“ นายสมเกียรติกล่าว
ขณะเดียวกัน บทเรียนในอดีตในหลายประเทศ เช่น ตุรกี ไล่ผู้ว่าแบงก์ชาติออก 3 คน เพราะรัฐบาลอยากให้ลดดอกเบี้ย ซึ่งผลก็คือเกิดเงินเฟ้อขึ้นมา 80% ในรัฐบาลอังกฤษ ลิซ ทรัสส์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในอำนาจสั้นที่สุดคนหนึ่งของอังกฤษ เพราะตอนนั้นต้องการลดภาษี ขาดดุลการคลัง และไม่ฟังแบงก์ชาติของอังกฤษ สุดท้ายนายกเองก็อยู่ไม่ได้
นายสมเกียรติกล่าวว่า ขอฝากอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลให้ความสนใจ จะคิดว่ากระบวนการวางแผนยังมีปัญหาคือโครงการแลนด์บริจด์ ถ้าจะลุยทำแลนด์บริจด์ อยากเห็นรัฐบาลคิดให้ดี คิดให้รอบคอบก่อน และมีประสบการณ์ทั่วโลก เพราะเมกะโปรเจกต์ไม่ใช่เคยทำแต่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก แต่เมกะโปรเจ็กต์ทำกันหลายหมื่นหรือใกล้แสนโปรเจ็กต์แล้ว
จากการศึกษาในอดีตก็พบแล้วว่าโครงการแบบไหนสำเร็จและโครงการแบบใดไม่สำเร็จ โครงการขนาดใหญ่ถ้าจะไม่สำเร็จมันจะมี 2 สาเหตุใหญ่ๆ และโครงการขนาดใหญ่เกือบทั้งหมดไม่สำเร็จ พูดถึงในโลกหรือทั่วไปเลย สาเหตุที่ไม่สำเร็จมีร่วมกันอย่าง 1.มองโลกดีเกินจริงและเมินความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้น 2.ไม่ใช่การมองโลกในแง่ดีอย่างเข้าใจผิดแต่เป็นการพยายามปั้นตัวเลข…เสกออกมาให้สวย เพื่ออยากลงทุนในการทำโครงการ
“เพราะฉะนั้นหัวใจสำคัญในการทำโครงการใหญ่ๆ จึงอยู่ที่การทำฟิสซิบิลิตี้ หรือศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการให้ดี กรณีของแลนด์บริจด์ จะพบประสบการณ์ที่น่าสนใจมี 2 ฟิสซิบิลิตี้ ซึ่งมีความแตกต่างกัน”นายสมเกียรติกล่าว
นายสมเกียรติกล่าวว่า กรณีของกระทรวงคมนาคม เห็นว่าโครงการแลนด์บริจด์ จะให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจดี สร้างมูลค่าปัจจุบันประมาณ 260,000 ล้านบาท ขณะที่การศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ทำให้กับสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่าการสร้างมูลค่าติดลบ หรือติดลบอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ติดลบ 121,037 ล้านบาท
ขณะที่ทางด้านเศรษฐกิจของกระทรวงคมนาคมจะมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ 17.43% แต่จุฬาฯ และ สศช. ทำออกมาผลตอบแทนทางเศรษฐกิจติดลบ 4.37% เรียกว่าต่ำกว่าต้นทุนทางการเงินของภาครัฐด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นโครงการที่ไม่ควรทำ หากโดยเฉพาะผลตอบแทนทางการเงินจริงๆ มาติดลบด้วยซ้ำไป
นอกจากนี้ การอันล็อกประเทศไทย ซึ่งมีการล็อกไว้หลายชั้น โดยจะยกมา 3 เรื่อง คือ 1.กฎระเบียบโบราณ 2.การศึกษาจำท่อง และ 3.การทดลองโดยไม่เรียนรู้ ถ้าประเทศไทยทำได้ 3 เรื่องนี้ ปลดล็อคทั้ง 3 เรื่องนี้อนาคตประเทศไทยมีแน่ ภาคเอกชนไทยมีความเข้มแข็ง บริษัทไทยมีความพร้อม สตาร์ตอัพ เอสเอ็มอีมีไดนามิก ขาดแต่กลไกสำคัญที่ไปล็อกธุรกิจประชาชนในการทำมาหากินไว้ก็คือภาครัฐบาล
”จึงขอฝากเรื่องนี้ให้คิดกันต่อถ้าประเทศไทยก้าวเดินไปได้ธุรกิจมีความพร้อม รายใหญ่พร้อมมากกว่า รายเล็กก็พยายามในการปรับตัว แต่ถ้าภาครัฐบาลไม่ปรับตัวไม่ปลดล็อกประเทศไทยออกจาก 3 เรื่อง คือเรื่องกฎหมายโบราณ การศึกษาจำท่อง และชอบทดลองโดยไม่เรียนรู้ ประเทศไทยก็ยากที่จะก้าวได้ แต่ถ้าเราปลดล็อกสามเรื่องนี้ เชื่อว่าประเทศไทยมีของดีอยู่มาก อย่างน้อยเราก็มีพระสยามเทวาธิราช คุ้มครองให้ประเทศไทยเดินต่อไปไปได้ ถ้าเราทำตัวของเราให้ดีขึ้น“นายสมเกียรติกล่าว