กระทุ้ง ‘แบงก์ชาติ’ ร่วมมือรัฐบาล ลดดอกเบี้ยเงินกู้1% ชี้ลดภาระหนี้ประชาชนได้ถึง10%

กระทุ้ง ‘แบงก์ชาติ’ ร่วมมือรัฐบาล ลดดอกเบี้ยเงินกู้ 1% ชี้ลดภาระหนี้ประชาชนได้ถึง 10%

วันที่ 8 พฤษภาคม นายโสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด(AREA) เปิดเผยว่า เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าดอกเบี้ยเงินกู้ของไทยสูงมาก ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ควรแก้ปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม โดยธปท.ควรเร่งเจรจากับธนาคารพาณิชย์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง ทั้งนี้จากที่ได้รวบรวมอัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศเพื่อนบ้าน ปรากฏว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยต่ำที่สุดแล้วอยู่ที่ 2.5% แต่เมื่อนำมาเทียบกับอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยกลับปรากฏว่ามีส่วนต่างมากถึง 4.72% ยิ่งหากนำไปเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก จะเห็นได้ชัดว่าสวนต่างมีมากเกินควรอย่างชัดเจน

นายโสภณกล่าวว่า ในกรณีมาเลเซียส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อที่อยู่อาศัยกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ห่างกันเพียง 1.33% ที่ประเทศอินเดียและฟิลิปปินส์ก็ต่างกันเพียง 2.38% และ 2.5% ตามลำดับ ส่วนที่อินโดนีเซียต่างกัน 3.34% แต่ก็ล้วนต่ำกว่าส่วนต่างของประเทศไทยอย่างชัดเจน ดังนั้นธปท.จึงควรเจรจากับธนาคารพาณิชย์เพื่อการลดดอกเบี้ยเงินกู้ โดยไม่ลดดอกเบี้ยเงินฝาก

“หากสามารถลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงไปได้ 1% เช่น ถ้าวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ในเวลา 30 ปี ณ อัตราดอกเบี้ย 7% ผู้กู้ต้องเสียเงินผ่อนชำระเดือนละ 6,653 บาท แต่ถ้าลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ 1% คือคิดเพียง 6% จะทำให้ผู้กู้ต้องจ่ายเงินผ่อนลดลงเป็นเดือนละ 5,996 บาท หรือลดลง 10% อันจะช่วยผ่อนเบาภาระของประชาชนและถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดีที่สุดทางหนึ่ง”นายโสภณกล่าว

Advertisement

นายโสภณกล่าวว่า ในขณะนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปคงค้างทั่วประเทศ ณ ไตรมาสที่ 4/2566 มีมูลค่า 4,950,185 ล้านบาท หากลดอัตราดอกเบี้ยจาก 7% เป็น 6% ในเบื้องต้นอาจอนุมานได้ว่า จะทำให้เงินผ่อนชำระลดลงจาก 32,934 ล้านบาท เป็น 29,679 ล้านบาท ทำให้เกิดความต่างที่ 3,255 ล้านบาท และหากสมมติว่าเงินผ่อนจำนวนนี้ ราว 40% เป็นดอกเบี้ยให้สถาบันการเงิน ส่วนที่เหลือเป็นการผ่อนเงินต้น จะทำให้สถาบันการเงินสูญเสียรายได้จากดอกเบี้ยไปราว 1,302 ล้านบาท หรือปีละ 15,624 ล้านบาท ในขณะที่กำไรของธนาคารพาณิชย์โดยรวมในปี 2566 อยู่ที่ 224,476 ล้านบาท ทำให้รายได้ของธนาคารหายไปเพียง 7% เท่านั้น ในขณะที่ธนาคารก็สามารถประกอบกิจการอื่นได้อีกมากมายเป็นแหล่งรายได้อยู่แล้ว

“จึงเสนอให้ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ ร่วมมือกับรัฐบาล กำหนดนโยบายให้ 1.เจรจากับธนาคารพาณิชย์ให้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 1% 2. ให้ธนาคารของรัฐลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 1% ไปก่อน 3. ถ้าธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถลดได้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ควรพิจารณาให้เปิดธนาคารเพิ่มจากทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้เกิดการแข่งขันยิ่งขึ้น อันจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงตามลำดับ ทั้งนี้สังเกตได้ว่าธนาคารในประเทศอื่น มีจำนวนมากกว่าในประเทศไทย”นายโสภณกล่าว

นายโสภณกล่าวว่า ถ้าสามารถลดดอกเบี้ยเงินกู้ได้ ทำให้ความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝากลดลง จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล รัฐบาล ธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงินทั้งหลายต้องร่วมมือกันเพื่อประชาชน

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image