‘วอลโว่ ประเทศไทย’ แจงแล้ว ปรับแผนผลิตไฮบริดคู่อีวี กรณี สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า วอลโว่ ค่ายรถยักษ์สวีเดนได้ละทิ้งเป้าหมายที่ประกาศไว้เมื่อ 3 ปีก่อนว่าจะผลิตแต่รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เท่านั้น ภายในปี 2030
จากกรณี การพับแผนการดังกล่าวไว้ก่อนของค่ายวอลโว่ถูกระบุว่า เป็นผลมาจากสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีขึ้นขณะที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถยนต์เผชิญกับอุปสงค์ชะลอตัวลงในตลาดหลักบางแห่งสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และเผชิญความไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากมาตรการทางภาษีที่มีการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสำหรับรถอีวีที่ผลิตในจีน ขณะนี้วอลโว่คาดว่าอย่างน้อย 90% ของการผลิตรถยนต์ของบริษัทจะประกอบด้วยรถยนต์ไฟฟ้า และรถ PHEV หรือรถปลั๊กอินไฮบริด ภายในปี 2030 นอกจากนี้ ค่ายวอลโว่ยังอาจจะจำหน่ายรถรุ่น Mild Hybrid (MHEV) หรือระบบที่เครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าอีกเล็กน้อย (ข่าวเกี่ยวข้อง ค่ายวอลโว่ ล้มแผนมุ่งเป้าผลิตเฉพาะรถอีวี ภายในปี 2030 เหตุสภาวะตลาดเปลี่ยน-ดีมานด์ชะลอตัว)
เมื่อวันที่ 6 กันยายน คริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “วอลโว่ คาร์ ยังเชื่อมั่นว่ารถไฟฟ้าคืออนาคตของอุตสาหกรรม เรายังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถไฟฟ้าอย่างเต็มตัวในอนาคต โดยเรามีแผนการลงทุนและแผนกลยุทธด้านผลิตภัณฑ์ที่วางไว้อย่างชัดเจนเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าว อีกทั้งเราได้มีการวางแผนการสร้างไลน์ผลิตภัณฑ์รถไฟฟ้าให้ครบทุกรุ่นภายในปี พ.ศ.2573 หรือ ค.ศ.2030 เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้า แผนการดังกล่าวจะส่งผลให้บริษัทก้าวสู่ความเป็นผู้ผลิตรถไฟฟ้าได้อย่างเต็มตัวตามที่วางแผนไว้ในเวลาที่ตลาดมีความพร้อม
แผนการที่เราจะกำหนดกรอบระยะเวลาในการเป็นผู้ผลิตเฉพาะรถไฟฟ้านั้น อาจจะมีปัจจัยภายนอกที่เราไม่อาจควบคุมได้ ดังนั้นเราจึงปรับเปลี่ยนแผนโดยยังคงมีการผลิตรถกลุ่มปลั๊กอินไฮบริด ควบคู่กับรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและความพร้อมของตลาด ความมุ่งมั่นเพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทผู้ผลิตรถไฟฟ้าของเราถูกถ่ายทอดผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์รถไฟฟ้าที่มีการเปิดตัวอย่างต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต เป้าหมายในการรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมรถไฟฟ้ายังคงชัดเจน และเรายังคงตั้งเป้าที่จะเป็นบริษัทที่มีคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ.2583 เส้นทางการเปลี่ยนสู่การเป็นบริษัทผู้ผลิตรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบนั้นมีความซับซ้อน เช่นเดียวกับความพร้อมของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน การประยุกต์เพื่อให้ตรงกับสถานการณ์ และการมีความยืดหยุ่น จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในธุรกิจ ควบคู่ไปกับเป้าหมายที่ชัดเจนในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านสู่นวัตกรรมรถไฟฟ้า และการมีส่วนร่วมสร้างความยั่งยืนทางสังคมและสิ่งแวดล้อม”