ที่มา | คอลัมน์ รายงานพิเศษ |
---|---|
ผู้เขียน | สุวนันท์ คีรีวรรณ |
กลายเป็นปัญหาที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในแวดวงการศึกษาไทย เมื่อสถานศึกษาในแต่ละสังกัดภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) อาทิ โรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เป็นต้น เริ่มส่งเสียงโอดครวญ เนื่องจากงบประมาณอุดหนุนค่าหนังสือเรียนในโครงการ เรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ ส่งถึงสถานศึกษาเพียง 50% ทั้งที่ขณะนี้เปิดภาคเรียนที่ 1/2561 มาหลายเดือนแล้ว
ทำให้โรงเรียนจำนวนมาก ต้อง ติดค้าง ค่าหนังสือเรียนกับร้านค้า หรือสำนักพิมพ์
ส่วนร้านค้าก็ไม่มีเงินไปจ่ายให้กับสำนักพิมพ์ และองค์การค้าของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)
ปัญหาดังกล่าวเกิดภายหลังสำนักงบประมาณปรับ ลด งบรายจ่ายประจำปีงบ 2561 ในส่วนของเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายการ หนังสือเรียนและแบบฝึกหัด ตามโครงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับการศึกษาขั้น
พื้นฐาน ในโครงการเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ ลงครึ่งหนึ่ง!!
ปัญหาที่ตามมาคือ หน่วยงานใน ศธ. เช่น สพฐ.ได้รับงบลดลง จากเดิมได้รับงบเพื่อใช้ซื้อหนังสือเรียนเป็นเงิน 5,000 ล้านบาท แต่ลดลงเหลือเพียง 2,500 ล้านบาทเท่านั้น
ขณะที่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. มอบนโยบายให้สถานศึกษาแจกหนังสือเรียนฟรีให้กับนักเรียนครบ 100% ในปีการศึกษา 2561 พร้อมให้คำมั่นว่าทุกหน่วยงานในสังกัด ศธ.ได้งบคืนอย่างแน่นอน
ที่ผ่านมา โรงเรียนในสังกัด สพฐ.จะได้รับงบจัดซื้อหนังสือเรียนก่อนเปิดภาคเรียนในเดือนเมษายน เพื่อให้ทุกโรงเรียนจัดซื้อหนังสือเรียนจากร้านค้าให้กับนักเรียนทุกคน โดย สพฐ.จะโอนงบให้ 70% ก่อน และให้โรงเรียนนำเงินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนสมทบจ่ายในส่วนที่เหลือ และหลังวันที่ 1 มิถุนายน เมื่อโรงเรียนตรวจนับรายหัวนักเรียนเรียบร้อย สพฐ.จะโอนงบหนังสือเรียนที่เหลือมาให้
ซึ่งไม่มีปัญหา และทำกันมาเช่นนี้่ทุกปี!!
แต่เนื่องจากปีการศึกษา 2561 ทุกโรงเรียนได้รับงบหนังสือเรียนเพียง 50% เท่านั้น โรงเรียนจึงต้องหาวิธีบริหารจัดการกันเอาเอง เพื่อให้นักเรียนได้รับหนังสือเรียนครบ 100% ตามนโยบาย ทำให้โรงเรียนจำเป็นต้องสั่งซื้อหนังสือจากร้านค้าให้ครบ 100% เพื่อแจกจ่ายให้นักเรียนไปก่อน
เรื่องดังกล่าวได้ลุกลามบานปลายกลายเป็นปัญหาลูกโซ่ เพราะหลังจากโรงเรียนสั่งซื้อหนังสือเรียนจากร้านค้า 100% ทั้งที่โรงเรียนได้มีงบเพียง 50% เท่านั้น จนถึงทุกวันนี้ สพฐ.ยังไม่สามารถโอนงบส่วนที่เหลือให้โรงเรียน และร้านค้าที่จำเป็นต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าหนังสือให้โรงเรียนไปก่อน
จนเจ้าของร้านค้าหลายแห่งออกมาเรียกร้องให้โรงเรียนเร่งจ่ายเงินในส่วนที่เหลือ เพราะไม่เช่นนั้น ร้านค้าเองก็ไม่มีเงินมาหมุน หรือใช้หนี้สำนักพิมพ์ และองค์การค้าเช่นกัน
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดแค่ในโรงเรียนสังกัด สพฐ.เท่านั้น โรงเรียนเอกชน ในสังกัด สช.ก็ได้รับความเดือนร้อนเช่นกัน อาจจะมากกว่าโรงเรียนสังกัดอื่นๆ ด้วยซ้ำ โดยกลุ่มโรงเรียนเอกชนที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดคือ กลุ่มโรงเรียนเอกชนที่เป็นมูลนิธิและการกุศล เนื่องจากโรงเรียนเหล่านี้ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ 100% ส่วนโรงเรียนเอกชนที่มีผู้บริหารเอง หรือโรงเรียนเอกชนชื่อดัง จะได้รับงบอุดหนุนจากรัฐ 70% ที่เหลือโรงเรียนสามารถเรียกเก็บจากผู้ปกครองได้ โรงเรียนเหล่านี้จึงไม่มีปัญหามากนัก
เมื่อโรงเรียนการกุศลได้รับงบจากภาครัฐ 100% จึงไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากผู้ปกครองได้ ซึ่งโรงเรียนเอกชนจะได้รับงบช้าอยู่แล้ว บางแห่งเปิดภาคเรียนล่วงมา 1 เดือน ถึงจะได้รับเงินอุดหนุน และปีนี้ได้รับงบค่าหนังสือเรียนเพียง 50% แต่ต้องสั่งซื้อหนังสือเรียนเพื่อแจกนักเรียนให้ครบ 100% ตามนโยบายของ ศธ.
เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจร้านค้าอย่างยิ่ง ที่ต้องควักเนื้อ วิ่งหาเงินตัวเป็นเกลียว เพราะเมื่อทวงถามไปยังโรงเรียนว่าจะได้รับเงินช่วงไหน ทางโรงเรียนก็ไม่สามารถตอบคำถามได้ อีกทั้งยังไม่รู้จะไปควานหาเงินจากไหนมาจ่าย
ได้แต่ รอ ว่าเมื่อไหร่ ศธ.จะโอนเงินมาให้เสียที
ทั้งนี้ แม้แต่สถานศึกษาสังกัด สอศ.ที่ออกมาให้ข่าวว่าได้จัดสรรงบหนังสือเรียนให้สถานศึกษาอาชีวะครบทั้งรัฐและเอกชนแล้ว แต่ก็มีเสียงแว่วจากสถานศึกษาอาชีวะบางแห่งว่ายัง ไม่ได้ งบหนังสือครบ 100% เช่นกัน
ฉะนั้น ภาระหนักหน่วงครั้งนี้จึงน่าจะตกอยู่ที่ร้านค้าหนังสือ ซึ่งบางแห่งต้องแบกรับค่าภาระหลัก 10 ล้านบาท ยิ่งร้านค้าไหนมีพื้นที่รับผิดชอบจ่ายหนังสือให้กับโรงเรียนมากขึ้นเท่าไร มูลค่าความเสียหายจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น
จึงไม่น่าแปลกใจที่บางร้านค้าต้องแบกภาระหลายสิบล้านบาท และหลายร้านค้าอาจมีหนี้สินมากถึง 100 ล้านบาท!!
ซึ่งปีนี้ เจ้าของร้านค้าต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เจอปัญหาหนักที่สุด และรู้ว่าโรงเรียนไม่มีเงินจ่าย ก็ได้แต่หวังว่า ศธ.จะรีบโอนเงินส่วนที่เหลือมาให้โดยเร็ว เพื่อลดภาระของทุกฝ่าย
แต่หากแก้ปัญหานี้ไม่ได้ คำถามคือถ้าปีหน้าโรงเรียนได้งบมาเท่าเดิม แต่นโยบายของ ศธ.ยังคงให้จัดซื้อหนังสือเรียนเเจกนักเรียนฟรี 100% โรงเรียนจะกล้าสั่งซื้อเต็มจำนวนหรือไม่ หรือร้านค้าจะกล้าขายหนังสือให้กับโรงเรียนเต็มตามจำนวนที่สั่งซื้อหรือไม่ เพราะกลัวจะเกิดปัญหา ซ้ำรอย เหมือนปีนี้อีก
หากจะให้ฟ้องร้องเรียกเงินจากทางโรงเรียน ก็ทำไม่ได้ เพราะโรงเรียนไม่ได้ตั้งใจ เบี้ยวหนี้ หรือถ้าฟ้องกันจริงๆ ต่อไปร้านค้าเหล่านี้จะไปค้าขายกับใคร
สุดท้ายก็ได้แต่อ้อนวอนขอร้องให้ ศธ.ช่วยโอนเงินให้โรงเรียนโดยเร็ว
ส่วนเจ้ากระทรวงอย่าง นพ.ธีระเกียรติ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ทำได้เพียงอธิบาย และยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า ศธ.มีเงินจ่ายค่าหนังสือเรียนให้ทุกโรงเรียนแน่นอน แต่อาจจะช้าไปบ้าง เพราะระบบราชการ
ส่วน นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) อธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่า ในปี 2561 อาจเป็นความคลาดเคลื่อนในการดำเนินงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานในสังกัด ศธ.และสำนักงบประมาณ จึงถูกลดงบส่วนนี้ลงครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สพฐ.มีงบที่เกี่ยวข้องกับการเรียนฟรีอยู่ 5 รายการ ประกอบด้วย 1.ค่าเล่าเรียน 2.3 หมื่นล้านบาท 2.งบเครื่องแบบนักเรียน 2 พันล้านบาท 3.งบพัฒนากิจกรรมผู้เรียน 2 พันล้านบาท 4.งบอุปกรณ์
การเรียน 2 พันล้านบาท และ 5.หนังสือเรียน 5 พันล้านบาท โดยงบที่เป็นปัญหาคืองบหนังสือเรียนที่ยังไม่ครบ แต่งบส่วนอื่น สพฐ.โอนไปให้แล้ว
สพฐ.จะจัดการปัญหาอย่างไร ผมแนะนำให้โรงเรียนจัดสรรเงินใน 4 รายการ ซึ่งมีจำนวนมากกว่างบหนังสือเรียน เช่น งบพัฒนากิจกรรมผู้เรียนมายืดหยุ่นบริหารจ่ายไปก่อน ซึ่งโรงเรียนที่บริหารงบภายในได้ ก็ไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม สพฐ.พยายามแก้ปัญหาด้วยการจัดสรรงบภายในที่มีอยู่ 1,300 ล้านบาท และรอสำนักงบประมาณจัดสรรอีก 1,200 ล้านบาท หากได้ครบ สพฐ.จะรีบจัดสรรงบให้กับโรงเรียนทันที ยืนยันว่าสำนักงบประมาณ และ สพฐ.ทำงานและหารือร่วมกันตลอดในการแก้ปัญหานี้ นายบุญรักษ์กล่าว
แม้จะพอมี ทางออก ให้โรงเรียนนำงบพัฒนากิจกรรมผู้เรียนที่ใช้เป็นกิจกรรมพานักเรียนไปทัศนศึกษามายืดหยุ่นจ่ายค่าหนังสือเรียนไปก่อน แต่ระยะยาว หาก ศธ.ไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ จะกลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
หาก ศธ.ไม่รีบแก้ไขให้ปัญหาหมดไปโดยเร็ว และปล่อยให้เรื้อรัง ผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ จะไม่ใช่แค่ โรงเรียน หรือ ร้านค้า เท่านั้น แต่จะรวมถึง นักเรียน อีกด้วย!!