เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่เมืองเว้ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา หรือ ซีส์ คณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำโดยศ.ดร. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ ผศ.ดร. พิเชษฐ สายพันธ์ อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ ร่วมด้วย ศาสตราจารย์ ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ พาคณะนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ในสาขาวิชาดังกล่าวประมาณ 100 รายลงพื้นที่ภาคสนามโดยเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา อศ.210 สุวรรณภูมิและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สมัยโบราณ ซึ่งมุ่งหวังให้ทำความเข้าใจเพื่อนบ้านในมิติต่างๆ
ขณะเยี่ยมชมพระราชวังเมืองเว้ ศ.ดร. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ กล่าวว่า พระราชวังแห่งนี้สะท้อนถึง ‘จีนานุวัฒน์’ รับอิทธิพลจีนสูงมาก ทั้งศิลปะ ความเชื่อ และอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีการสร้าง ‘พระป้าย’ ของกษัตริย์แต่ละพระองค์ในราชวงศ์เหวียนหรือเหงียนซึ่งร่วมสมัยกับยุครัตนโกสินทร์ของไทย อย่างไรก็ตาม กษัตริย์ที่ถูกประวัติศาสตร์จารึกว่าเป็นกษัตริย์ที่ไม่เหมาะสม ก็ไม่ได้มีการทำพระป้ายแต่อย่างใด โดยพระป้ายที่ได้รับอิทธิพลจีนนี้ มีการจัดวางที่ชัดเจนว่ากษัตริย์พระองค์สำคัญที่สุดอยู่ตรงกลาง นั่นคือ พระเจ้ายาลอง หรือ ‘องเชียงสือ’ ถัดไปทางซ้ายคือ ‘พระเจ้ามินห์มาง’ ซึ่งในรัชกาลนี้มีการสู้รบกับเจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ในสมัยรัชกาลที่ 3
“พระเจ้ามินห์มางถือเป็นกษัตริย์ที่เก่งมาก เกรียงไกรมากๆ ในยุคนั้นการแพทย์ตะวันตกเข้ามาแล้ว บรรดากษัตริย์และขุนนางได้รับบริการจากแพทย์ วัคซีนก็มา ยาป้องกันและรักษาโรคก็มีเยอะ คนชั้นสูงมีลูกได้มาก และเมื่อเกิดมาแล้ว อัตราการเสียชีวิตต่ำลงมาก ปัจจุบันพระนามมินห์มางเป็นยี่ห้อเหล้าซึ่งดื่มแล้วคึกคัก เหตุที่มีการใช้พระนามของพระองค์เป็นชื่อเหล้าในยุคหลังราชวงศ์เหวียนล่มสลาย เพราะทรงมีพระโอรสธิดาจำนวนมาก” ศ.ดร.ชาญวิทย์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการเปิดเผยถึงจำนวนพระมเหสี ชายา และพระสนมของพระเจ้ามินห์มางตามบันทึกว่ามีถึง 520 พระองค์ และหากนับรวมจำนวนที่ถูกแจ้งให้กลับบ้านเกิด จะมีถึง 700 คน พระโอรส พระธิดารวม 147 พระองค์
สำหรับสุรายี่ห้อดังกล่าวในปัจจุบันคิดเป็นเงินไทยราคาตกราวขวดละ 1,500 บาท
