กรมศิลป์รุดตรวจสอบหินเสมา 2 หลัก บ้านกุดตา จ.กาฬสินธุ์ คาดอยู่ในยุคทวารวดี

กรมศิลป์รุดตรวจสอบหินเสมา 2 หลัก บ้านกุดตา จ.กาฬสินธุ์ คาดอยู่ในยุคทวารวดี

หินเสมา – นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 มกราคม ที่ผ่านมา สำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร้อยเอ็ด ได้เข้าตรวจสอบหลักหินเสมา 2 หลัก ที่บ้านกุดตาใกล้ หมู่ 4 ต.สายนาวัง อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ โดยชาวบ้านกุดตาใกล้ได้ทำการขุดเปิดพื้นที่บริเวณบ้านของนายธงชัย คะโยธา ราษฎรบ้านกุดตาใกล้ จึงได้พบหลักหินดังกล่าว จากการตรวจสอบเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ พบว่า หลักหินที่ขุดพบมีลักษณะเป็นเสาหินทรายแปดเหลี่ยม จำนวน 2 หลัก ขนาดกว้าง 55 เซ็นติเมตร สูง 212 เซ็นติเมตร และ กว้าง 60 เซ็นติเมตร สูง 177 เซ็นติเมตร สภาพไม่สมบูรณ์ ส่วนเดือยของหลักหินที่หักออก มีขนาดกว้าง 44 เซ็นติเมตร สูง 92 เซ็นติเมตร

“ชาวบ้านกุดตาใกล้ได้ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้จมดินอยู่โดยโผล่พ้นดินขึ้นมาบางส่วน หลังจากนั้นมีการนำดินขุดสระมาถม แต่ยังเป็นที่รับรู้ของคนในชุมชนว่ายังมีหลักหินอยู่ในจุดดังกล่าว จนกระทั่งได้ขุดเปิดพื้นที่ และพบหลักหินทั้ง 2 หลักนี้อีกครั้ง ผมได้สั่งการให้สำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี เก็บข้อมูลรายละเอียดพร้อมจัดทำแผนผังที่พบ เพื่อดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีต่อไป” นายประทีป กล่าว

นายประทีปกล่าวต่อว่า ปัจจุบันกรมศิลปากรมีนโยบายในการศึกษาความสัมพันธ์ของใบเสมาทวารวดีกับการตั้งชุมชน และพื้นที่ใช้งานทางวัฒนธรรมช่วงทวารวดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยให้เป็นการดำเนินการร่วมกันระหว่างสำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น สำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี และสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา เพื่อศึกษารวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับเสมาโบราณที่พบกระจายตัวหนาแน่นในภาคอีสาน ที่สัมพันธ์กับการตั้งชุมชนในวัฒนธรรมทวารวดีในพุทธศตวรรษที่ 13-16 โดยมีแหล่งสำคัญ เช่น เมืองจำปาศรี อ.นาดูน จ.มหาสารคาม เมืองเสมา อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา และเมืองคอนสวรรค์ จ.ชัยภูมิ เป็นต้น สำหรับในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของวัฒนธรรมทวารวดี ที่ผ่านมามีรายงานการพบแหล่งเสมาโบราณหนาแน่นมากกว่าจังหวัดอื่น โดยมีแหล่งสำคัญอยู่ที่เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง ต.หนองแปน อ.กมลาไสย และที่บ้านหนองห้าง ต.หนองห้าง อ.กุฉินารายณ์ เป็นต้น โดยแหล่งบ้านกุดตาใกล้นี้ จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการศึกษาความสัมพันธ์ของใบเสมาทวารวดีฯ ด้วยเช่นกัน

Advertisement

“สิ่งที่สำคัญที่สุดของการพบเสมาทั้ง 2 หลักนี้ คือเป็นการพบหลักฐานในแหล่งดั้งเดิม ที่นักโบราณคดีจะยังมีโอกาสศึกษาชั้นดินที่พบ รวมถึง เก็บข้อมูลบริบทแวดล้อมทางโบราณคดีได้มากกว่าใบเสมาส่วนใหญ่ที่ถูกเคลื่อนย้ายไปแล้ว และสูญเสียข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ในทางการศึกษาวิจัยทางโบราณคดีไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งนี้ ในเบื้องต้นท้องถิ่นแจ้งความประสงค์จะเก็บรักษาเสมาทั้ง 2 หลักไว้ในพื้นที่ โดยจะดำเนินการขออนุญาตกรมศิลปากรตามข้อกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ภายในท้องถิ่นต่อไป” นายประทีป กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image