‘กรณ์’ ลุยอีสาน ชูนโยบายแก้จนช่วยคนปลดหนี้ ผุด เกษตรพรีเมียม-ตั้งกองทุนน้ำ

‘กรณ์’ เผยลงพื้นที่ช่วยชาวนา 5 ปี ปลดหนี้ให้เกษตรกรทั้งหมู่บ้าน มั่นใจนโยบายแก้จน ช่วยแก้ปัญหาประชาชนอย่างยั่งยืน พร้อมทำเกษตรพรีเมียม-กองทุนน้ำ

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานกรรมการนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย ดร.ศุภชัย ศรีหล้า แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ภาคอีสาน นางสาวกมลวรรณ มณีศรี ผู้สมัคร ส.ส.ปชป.เขต 3 ลงพื้นที่หาเสียงที่ จ.ขอนแก่น และ จ.มหาสารคาม ระหว่างวันที่ 1-2 มีนาคม โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพี่น้องประชาชนที่มาผูกข้อมือและอวยพรให้โชคดีมีชัยในการเลือกตั้ง กลับมาเป็นรัฐมนตรีคลังช่วยกอบกู้เศรษฐกิจอีกครั้ง พร้อมกันนี้ยังได้ร่วมเวทีดีเบตที่ จ.ขอนแก่น โดยชูนโยบายแก้จน เน้นการทำเกษตรพรีเมียม ตลอดจนการตั้งกองทุนน้ำ ตามนโยบายพรรคที่ตั้งใจทำงานตอบโจทย์ภาคอีสาน มุ่งสู่การยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น

นายกรณ์กล่าวว่า นโยบายที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองในขณะนี้คือ การเติมเงินในกระเป๋าเกษตกร คือการประกันรายได้ในพืชเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ เกวียนละ 15,000 บาท ข้าวขาว เกวียนละ 10,000 บาท ข้าวเหนียว เกวียนละ 11,000 บาท มันสำปะหลัง กิโลละ 2 บาท ข้าวโพด กิโลละ 7 บาท ยางพารา กิโลละ 60 บาท ปาล์ม กิโลละ 4 บาท ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ราคาที่สูงที่สุด แต่เป็นราคาประกันที่เรามองว่าเขาไม่ควรมีรายได้ต่ำกว่านี้ ที่เหลือคือยุทธศาสตร์ที่ต้องใช้ศิลปะและเวลาอีกสักหน่อยในการดันราคาให้สูงขึ้นกว่าราคาอ้างอิง

“ผมเชื่อว่าเกษตรกรจะมีรายได้ที่มากขึ้นได้ จากการที่เคยลงไปทำนากับชาวนา จ.มหาสารคาม ที่ทั่วโลกยอมรับว่าข้าวหอมมะลิที่นั่นอร่อยที่สุดในโลก แต่ทำไมชาวนายิ่งทำยิ่งจน จากการศึกษาของทีมนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ทำให้รู้ว่าปัญหาเกิดจากโครงสร้างการค้าข้าวที่ชาวไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยตัวเอง เครื่องมือสำคัญคือปฏิรูปสหกรณ์ที่จะช่วยซื้อข้าวในราคาที่เป็นธรรม รวมถึงการแปรรูปข้าว สร้างแบรนด์ สร้างยี่ห้อและนำเสนอสู่ตลาดเพื่อให้ผลประโยชน์คืนกลับมาที่เกษตรกร ผมเคยถามชาวนาว่าราคาข้าวในฝันคือเท่าไร เขาตอบผมว่าเกวียนละ 25,000 บาท ตลอด 5 ปีที่ลงไปทำนา เราใช้ยุทธศาสตร์ผลิตข้าวพรีเมียม ปลอดสาร แพคเกจจิง แบรนดิง มีที่มาที่ไป และเข้าถึงตลาด คือถึงมือผู้บริโภคโดยตรง และชาวนาไม่เคยขายข้าวได้ต่ำกว่าเกวียนละ 25,000 บาทเลย ผลที่ได้รับคือ ชาวนาทั้งหมู่บ้านไม่มีหนี้สิน บทเรียนของเราคือ วิธีที่จะแก้หนี้ ให้เกษตรกรที่ยั่งยืนคือเพิ่มรายได้ให้เขา ไม่ใช่การพักหนี้ที่สุดท้ายแล้วหนี้ก็ยังอยู่ การซื้อหนี้คืนก็ต้องใช้เม็ดเงินงบประมาณมหาศาส สู้เอาเงินส่วนนั้นเติมรายได้ให้กับเกษตรกรน่าจะมีผลต่อตัวเขาเองและระบบเศรษฐกิจมากกว่า”

Advertisement

นายกรณ์กล่าวต่อว่า นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นคนริเริ่มและจะเดินหน้าต่อคือ เรื่องเบี้ยประกันผู้สูงอายุที่จะเพิ่มเป็น 1,000 บาท สำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เบี้ย อสม.จะเพิ่มเป็น 1,200 บาท แต่มีภารกิจเพิ่มคือต้องดุแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน เรื่องการศึกษาของเด็ก พรรค ปชป.ผลักดันเรื่องเบี้ยเกิดปั๊บรับสิทธิแสน แรกเกิดถึงประถมวัยจะได้รับ 1,000 บาท มีกองทุนเพื่อเพิ่มมาตรฐานสถานดูแลเด็กเล็กอัตรา 5,000 บาทต่อหัว ยกระดับการดูแลเด็กช่วงประถมวัย รวมถึงอาหารกลางวันฟรีจนถึงมัธยมปลาย นอกจากนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังมีนโยบายสร้างคนที่จะพัฒนาลูกหลานชาวอีสานให้มีศักยภาพสร้างรายได้ให้กับตัวเอง ยกระดับความเป็นอยู่ของตัวเองในอนาคต ให้เสมอภาคกับประชาชนในภูมิภาคอื่นในประเทศไทย ดังนั้น จึงขอให้พี่น้องชาวอีสานได้ลองศึกษานโยบายของแต่ละพรรค เพื่อตัดสินใจว่านโยบายไหนที่จับต้องได้ มีที่มาที่ไป ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เราชัดเจนว่าจะทำเพื่อพี่น้องชาวอีสานและได้ประกาศตั้งแต่ต้นภายใต้นโยบาย แก้จน สร้างคน สร้างชาติ ซึ่งเราทำจริง ทำได้ ทำแล้ว และจะทำต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image