ตร.เต้นตั้ง กก.สอบ ‘ชุดปราบยาเสพติด’ จับผู้ต้องหาเรียกไถเงินแลกลดข้อหาก่อนถูกซ้อนแผนจับติดคุก

กรณีนายกำพลเสือดาว อายุ 62 ปี ชาว จ.กาญจนบุรี พร้อมด้วยครอบครัว ร้อง บก.ป.หลังจากที่นายสุรัช เผือกพันธ์ดอน อายุ 23 ปี หลานชาย ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ 5 คน หญิงสาว 1 คน อ้างเป็นตำรวจ บุกเข้ามาบ้านใช้กำลังรุมทำร้าย นายสุรัชจนดั้งหักเลือดไหลอาบหน้า จนสลบแน่นิ่งไป ก่อนพาตัวไปตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา เสร็จแล้วก็จับนายสุรัช ถอดเสื้อผ้าใส่กุญแจมือแล้วพาตัวไปส่งที่ รพ.สมเด็จพระสังฆราชที่ 19 หรือ รพ.ท่าม่วง ญาติจึงรีบติดตามไปแต่เมื่อไปถึงกลุ่มที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่กลับรีบพาตัวนายสุรัช ออกจากโรงพยาบาลทั้งๆ ที่หมอและพยาบาลกำลังช่วยทำแผลให้คนป่วย โดยอ้างว่าเป็นตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด จะนำตัวนายสุรัชไปขยายผลดำเนินคดี ก่อนจะพาออกจากโรงพยาบาลไปนั้น

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร.เปิดเผย กรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2562 เวลาประมาณ 11.39 น. พนักงานสอบสวน สภ.ท่าม่วง ได้รับแจ้งจากญาตินายสุรัตน์ หรือโจ้ เสือดาว หรือ (สุรัตน์ เผือกพันธ์ดอน) อายุ 23 ปี ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์อ้างเป็นตำรวจทำร้ายร่างกาย และนำตัวไปที่ใดไม่รู้ จึงมาลงรายงานประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาวันที่ 25 ตุลาคม 2562 เวลา 02.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุด (ศอ.ปส.ตร.) นำโดย พ.ต.ท.ณัฐสิษฐ์ พุทธจริญ กับพวกได้นำตัวนายสุรัตน์ พร้อมยาบ้า จำนวน 60 เม็ด โดยกล่าวว่าจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าโดยผิดกฎหมาย มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ เหตุเกิดวันที่ 23 ตุลาคม 2562 เวลาประมาณ 03.30 น. บ้านเลขที่ 62/2 หมู่ 6 ตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วงจังหวัดกาญจนบุรี ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี

อีกเหตุการณ์ได้รับรายงานจาก ภ.จว.กาญจนบุรี ว่า เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 เวลาประมาณ 21.10 น. ร.ต อ.อัศวิน บุนนาค รอง สว.สืบสวน สภ.ท่าม่วง ช่วยราชการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอ.ปส.ตร.) พร้อมพวกได้ร่วมกันทำการจับกุมนายศราวุฒิ หรือแบงค์ สมศรี อายุ 33 ปี พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) รวมจำนวน 670 เม็ด โทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 เครื่อง โดยกล่าวหาว่ามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมายและพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย เหตุเกิดบ้านเลขที่ 27/1 หมู่ 1 ต.ดอนชะเอม อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี

ต่อมาชุดจับกุมได้ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ควบคุมผู้ต้องหาไว้เพื่อขยายผลการจับกุม ในระหว่างนั้นชุดจับกุมได้มีการเรียกรับเงินจากฝ่ายผู้ต้องหาจำนวน 200,000 บาท ผู้ต้องหาจึงติดต่อกับญาติเพื่อนัดหมายส่งมอบเงินให้กับชุดจับกุมที่บ้านผู้ต้องหา ในวันที่ 24 ตุลาคม 2562 เวลาประมาณ 13.00 น. ญาติผู้ต้องหาจึงได้แจ้งต่อเจ้าที่ตำรวจชุดสืบสวน กองกับกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อวางแผนเข้าจับกุม โดยให้ญาติผู้ต้องหานำเงินเพียงจำนวน 50,000 บาท ไปส่งให้ ต่อมา ร.ต.อ.อัศวิน กับพวกรวม 4 คนได้เดินทางมารอรับเงินและได้เจอเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้ทำการจับกุมตัวพร้อมของกลางจำนวน 50,000 บาท โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในตำแหน่งไม่ว่ากันนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่ นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

Advertisement

ขณะนี้ พล.ต.ต.วรณัน สุขเจริญ ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวข้างต้นแล้ว โดยให้คณะกรรมการดำเนินการตรวจสอบด้วยความรวดเร็ว บริสุทธิ์ ยุติธรรม เสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กรอบกฎหมายกำหนดโดยหากพบว่ามีการกระทำความผิด มีข้อบกพร่องก็จะดำเนินการทางวินัยและอาญาอย่างเด็ดขาดต่อไป

พ.ต.อ.กฤษณะกล่าวอีกว่า ในการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปฏิบัติตามหน้าที่ ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายที่กำหนด โดยหลักแล้วก่อนการตรวจค้นทุกครั้งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจะมีการแสดงบัตรเพื่อระบุตัวตนให้อีกฝ่ายทราบ และหากระหว่างการตรวจค้นพบสิ่งของผิดกฎหมาย สามารถดำเนินการจับกุมได้ เนื่องจากเป็นความผิดซึ่งหน้า และจะมีการแจ้งสิทธิต่างๆ ให้ผู้ต้องหาทราบ ซึ่งหน่วยงานต้นสังกัดก็คงจะไปทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง หากตรวจพบว่ามีข้อบกพร่องหรือเกินกว่าขอบเขตและอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายได้ให้ไว้ ก็จะมีบทลงโทษทั้งทางวินัยและอาญาต่อไป ซึ่งก็คงต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ผิดก็ว่าไปตามผิดไม่มีการให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว

ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการลงทัณฑ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่กระทำในลักษณะนี้ทั้งไล่ออก ปลดออก ให้ออก หากความผิดปรากฎชัดเจน ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศมาโดยตลอด ไม่ปล่อยไว้ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เสื่อมเสียชื่อเสียงขององค์กรและเสียกำลังใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประพฤติปฏิบัติดี

Advertisement

ทั้งนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และข้อบังคับที่กำหนด อย่างเคร่งครัด ส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นที่ยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง หรือปฏิบัติงานไม่สนองนโยบายของผู้บังคับบัญชา ก็จะไม่เข้าข้างอยู่แล้ว หากผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ามีความผิดก็จะดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญาอย่างเด็ดขาด

อีกทั้ง ผบ.ตร.ได้มีข้อสั่งการไปยังกองบัญชาการทุกภาคส่วน ผู้บังคับการ ผู้กำกับ หน.หน้าหน่วยในทุกต้นสังกัดทุกพื้นที่ ให้มีการควบคุมดูแลความประพฤติและวินัยข้าราชการตำรวจ ทั้งเวลาราชการและนอกเวลาราชการ ตามคำสั่งที่ 1212/2537 ในการกวดขัน กำกับ ดูแล สอดส่องความประพฤติและพฤติกรรมของข้าราชการตำรวจภายใต้การปกครองบังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด หากพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีความประพฤตินอกรีต ไปเรียกรับเงินทอง เรียกรับผลประโยชน์อื่นใด หรือแม้กระทั่งใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ โดยให้ดำเนินการตรวจสอบกระทำด้วยความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งหากผลการตรวจสอบพบว่าได้กระทำผิดจริงให้ดำเนินทางวินัยและอาญา อย่างเด็ดขาด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image