‘เบญจา’ อดีตรองอธ.สรรพากร-พวกรวม 4 คน มาศาลฟังฎีกา แต่จำเลยที่5ป่วยบ้านหมุน ศาลนัด 26 ธ.ค.

‘เบญจา’ อดีตรอง อธ.สรรพากร-พวกรวม 4 คน มาศาลตามนัดฟังฎีกา ช่วย ‘โอ๊ค-เอม’ ไม่ยื่นคำนวณภาษีซื้อหุ้นชินฯ แต่คนใกล้ชิดเลขาฯหญิงอ้อส่งทนายยื่นใบรับรองแพทย์ป่วยบ้านหมุน ศาลเลื่อนนัดอ่านใหม่ 26 ธ.ค.นี้

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ อท.43/2558 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร, น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย, นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1-5 ต่อแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐในศาลอาญา ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 157

โดย ป.ป.ช.โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้าต่อแผนกคดีทุจริตฯ ในศาลอาญา เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.58 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า จำเลยที่ 1-4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อไม่ให้นายพานทองแท้ บุตรชายคนโต และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาวคนที่ 2 ของนายทักษิณ ต้องเสียภาษีอากรหรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร โดยชอบด้วยกฎหมาย จากการที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท ซึ่งการกระทำนั้นทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการเสียหาย จำเลยทั้งหมดสู้คดี ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

Advertisement

ขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ก.ค.59 พิพากษาว่า นางเบญจา อดีต รมช.คลังและอดีตรอง อธ.สรรพากร, น.ส.จำรัส, น.ส.โมรีรัตน์ และนายกริช อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย จำเลยที่ 1-4 มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตาม ป.อ.มาตรา 157 และ 83 ให้จำคุกคนละ 3 ปี ส่วน น.ส.ปราณี คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 5 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตาม ป.อ.มาตรา 157 และ 86 มีโทษ 2 ใน 3 ให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี และเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยทั้งหมดแล้ว ไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

ต่อมา จำเลยที่ 1-5 ยื่นอุทธรณ์คดี และได้ประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ซึ่งศาลตีราคาประกันคนละ 300,000 บาท โดยไม่มีการกำหนดเงื่อนไขใดๆ ขณะที่คดีอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เมื่อวันที่ 19 ต.ค.60 ซึ่งเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนั้นชอบแล้ว โดยสภาพความผิดของจำเลยทั้งห้าเป็นการกระทำที่ไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายและความน่าเชื่อถือในการจัดเก็บภาษีอากรของประเทศชาติ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง ส่วนที่จำเลยที่ 5 อ้างว่าเรื่องนี้ในที่สุดแล้วก็ไม่ได้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษายึดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องไปหมดแล้ว และศาลภาษีอากรกลางได้มีคำพิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีของกรมสรรพากรไปแล้วนั้นจะนำมาเป็นข้ออ้างเพื่อให้ศาลรอการลงโทษไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยทั้งห้าที่ไม่รอการลงโทษนั้น ศาลอุทธรณ์ฯ เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน จำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 3 ปี และจำคุกจำเลยที่ 5 เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา

ต่อมา จำเลยที่ 1-5 ยื่นฎีกา และได้ประกันตัวไปด้วยหลักทรัพย์คนละ 500,000 บาท โดยศาลฎีกากำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยทั้งหมดเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล และยังให้จำเลยทั้งหมดนำหนังสือเดินทางมามอบต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ โดยให้ศาลอาญาคดีทุจริตฯ แจ้งไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ให้ทราบด้วย

Advertisement

โดยวันนี้ จำเลยที่ 1-4 และนายประกันเดินทางมาศาลตามนัด ซึ่งมีคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดมาร่วมให้กำลังใจเต็มห้องพิจารณาคดี ส่วน “น.ส.ปราณี” คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 5 ไม่ได้เดินทางมาศาล คงมีเพียงนายประกันและทนายความมาศาล พร้อมแถลงขอศาลเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาฎีกาวันนี้ออกไปก่อน เนื่องจากจำเลยที่ 5 มีอาการป่วยกะทันหัน เวียนศีรษะลักษณะอาการบ้านหมุน อาเจียนรุนแรง ซึ่งขณะนี้เข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระรามเก้า โดยทนายความได้นำใบรับรองแพทย์มาแสดงต่อศาลระบุต้องเข้ารักษาอาการตั้งแต่วันที่ 25-27 พ.ย.นี้

กระทั่งเวลา 11.15 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์ โดยสอบถามทนายความฝ่าย ป.ป.ช.โจทก์แล้วไม่คัดค้านคำขอเลื่อน ศาลพิเคราะห์เหตุจำเป็นและใบรับรองแพทย์ที่ยื่นแล้วน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 5 มีอาการป่วยจริง จึงเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาฎีกาวันนี้ออกไปก่อนโดยนัดฟังคำพิพากษาฎีกาอีกครั้งในวันที่ 26 ธ.ค.นี้ เวลา 10.00 น.

โดยภายหลังนางเบญจาเดินทางกลับโดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยมีบุตรชายพยุงแขนขึ้นรถไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image