เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 10 เมษายน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ต.ทรงพล วัธนะชัย รองโฆษก ตร. กล่าวถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยพี่น้องประชาชน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ ว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ในการอำนวยความสะดวกพี่น้องประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุในช่วง 7 วันอันตราย รวมถึงยังขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนที่ใช้รถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคลในการเดินทาง ควรรักษากฎวินัยจราจรอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการขับรถขณะมึนเมาสุรา ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตมากที่สุด และ ผู้ขับขี่เองควรมีความพร้อมด้านร่างกาย ควรพักผ่อนให้เพียวพอก่อนขับรถออกเดินทาง เพื่อป้องกันการหลับใน และยังได้กำชับในส่วนของผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ ไม่ควรเร่งทำรอบ จนคนขับรถพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
รองโฆษก ตร. กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังได้ระดมกวาดล้างอาชญากรรมคดีค้างเก่า ตั้งแต่วันที่ 1 – 9 เมษายน ที่ผ่านมา เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้กว่า 35,000 หมายจับ โดยพื้นที่ที่สามารถจับกุมได้มากที่สุด คือ บช.ภ.1 จับกุมได้กว่า 8,000 หมายจับ รองลงมาคือ กองบัญชาการตำรวจนครบาล สามารถจับกุมได้กว่า 5,000 หมายจับ บช.ภ. 4 จับกุมได้กว่า 4,000 หมายจับ
พล.ต.ต.ทรงพล กล่าวว่า ส่วนโครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน ถึง 18 เมษายน นั้น ล่าสุดขณะนี้มีประชาชนทยอยเข้าร่วมโครงการดังกล่าวแล้วกว่า 3,000 หลัง และมีแนวโน้มว่าทยอยเข้าร่วมมากขึ้น ซึ่งพื้นที่ที่มีประชาชนเข้าร่วมโครงการมากที่สุด คือ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่มีประชาชนฝากบ้านไว้กับตำรวจมากกว่า 1,000 หลัง
“นอกจากนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ยังได้กำชับให้ตำรวจทั่วประเทศดูแลความปลอดภัยประชาชน และสถานที่สำคัญอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวที่มีประชาชนเดินทางมาจำนวนมาก เพื่อป้องกันกลุ่มผู้ไม่หวังดี สร้างสถานการณ์ความวุ่นวายขึ้น ซึ่งจากการข่าวขณะนี้เหตุการณ์ยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย” รองโฆษกตร.กล่าว
ทั้งนีัสรุปผลการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศกวาดล้างหมายจับค้างเก่าคดีอาชญากรรมทุกประเภท ซึ่งมีการดำเนินการต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 1-9 เมษายน 2560 ทีผ่านมา ว่า ยอดผู้ต้องหาที่สามารถจับกุมได้ในปฏิบัติการครั้งนี้อยู่ที่ 35,146 ราย เป็นคดี อุฉกรรจ์ 815 ราย ,คดีทั่วไป 34,331 ราย และหมายศาล 576 ราย แบ่งตามมูลฐานความผิดได้แก่
1. ฆ่าผู้อื่น 346 ราย
2. ปล้นทรัพย์ 198 ราย
3. ชิงทรัพย์ 271 ราย
4. พยายามฆ่า 930 ราย
5. วิ่งราวทรัพย์ 239 ราย
6. ลักทรัพย์ 6,223 ราย
7. ยักยอกทรัพย์ 3,332 ราย
8. ฉ้อโกงทรัพย์ 3,968 ราย
9. พ.ร.บ.ยาเสพติด 3,745 ราย
10. พ.ร.บ.มาตรการฯ 226 ราย
11. ความผิดอื่น ๆ 15,668 ราย
