ปิดล้อม31จุด จับยาบ้า 4.4ล้าน ไอซ์100กิโล ทลายเครือข่าย”สีสุก ดาวเรือง”

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 2 พฤษภาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการ ป.ป.ส. พล.ต.ต.ศุภกิจ ศรีจันทรนนท์ รองผบช.ปส. พล.ต.ต.วุฒิพงศ์ เพ็ชรกำเหนิด ผบก.ปส.3 เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส. ร่วมแถลงผลปฏิบัติการตามยุทธการบูรณาการตัดวงจรทางการเงินเครือข่ายยาเสพติด ครั้งที่ 6/2560 ตามแผนปฏิบัติการ “ชัยยะ สยบไพรี 60/4” (เครือข่ายนายสีสุก ดาวเรือง) ปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ 8 จังหวัด ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ รวม 31 จุดตรวจค้นสามารถจับกุมได้ 3 คดี ผู้ต้องหา 9 คน ยึดของกลางยาบ้าจำนวน 4,417,531 เม็ด ยาไอซ์น้ำหนัก 100.15 กิโลกรัม ยาเคตามีน 49 กิโลกรัม ยาอี 1,514 เม็ด และกัญชาแห้ง 4 กรัม

คดีแรกเจ้าหน้าที่ บก.ปส.3 บช.ปส. และตำรวจภูธรภาค 5 ร่วมกันจับกุมนายศักดิ์ชัย แซ่ย่าง อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 81/1 หมู่ 5 จ.บ้านหวด อ.งาว จ.ลำปาง และนายย่าฟ่าตี่ แซ่ย่าง อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 269 หมู่ 10 ต.ห้วยข้อ อ.เชียงของ จ.เชียงราย พร้อมของกลางยาบ้า 4,016,000 เม็ด ยาไอซ์น้ำหนัก 100 กิโลกรัม ยาเคตามีนน้ำหนัก 49 กิโลกรัม รถยนต์ 3 คัน และโทรศัพท์มือถือ7 เครื่อง สามารถจับกุมได้บริเวณหน้าวัดปางหมอปวง หมู่ 6 ต.ป่าสัก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ต่อเนื่องถนนสายเชียงแสน-เชียงของ บ้านป่าสักหางเวียง หมู่ 9 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย

Advertisement

พล.ต.ต.ศุภกิจ กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้เนื่องจากก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่บช.ปส.ได้จับกุมนายณัฐพลหรือบอย นาคคำ อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาเครือข่ายนายไซซะนะ แก้วพิมพา ราชายาเสพติดชาวลาว เจ้าหน้าที่บช.ปส. 3 ได้สืบสวนขยายผล ก่อนได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีการลักลอบขนยาเสพติดจำนวนมากให้กับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า เพื่อนำไปส่งให้กับกลุ่มเครือข่ายในเขตกทม.และปริมณฑล เจ้าหน้าที่จึงวางแผนการจับกุม โดยนำกำลังไปซุ่มบริเวณหน้าวัดปางหมอปวง จนพบรถยนต์ 3 คัน ตรงตามที่ได้รับแจ้งจากสายลับ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าจับกุมจนสามารถจับกุม นายศักดิ์ชัยและนายย่าฟ่าตี่ไว้ได้ แต่มีผู้ต้องหาอีก 3 คนสามารถหลบหนีไปได้ ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานทำการออกหมายจับ จากการตรวจค้นในรถทั้ง 3 คันสามารถยึดยาเสพติดได้จำนวนมาก เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกัรลนมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า , ไอซ์) ร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 (เคตามีน) ไว่ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาติ และมีไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

คดีที่ 2 จ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ศุลกากร ตำรวจปส.3 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เจ้าหน้าที่ศรภ. กองทัพไทย ได้ร่วมจับกุมนายโนเวอร์เดียน สุเทียนซาห์ สุเท็ดโจ้ อายุ 38 ปี สัญชาติ อินโดนีเซีย พร้อมของกลาง ยาอีจำนวน 1,514 เม็ด ไอซ์น้ำหนัก 1.5 กรัม และกัญชาแห้งน้ำหนักประมาณ 4 กรัม โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาบริเวณด้านหน้าล็อบบี้ อาคารชุดเดอะเมทคอนโดมิเนียม เวลาประมาณ 13.50 น. ต่อเนื่องตรวจค้นห้องพักเลขที่ 123/149 อาคารชุดเดอะเมทคอนโดมิเนียม แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาธร กทม.

นายศิรินทร์ยา กล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องจากวันที่ 15 เมษายน เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันตรวจยึดพัสดุไปรษณีย์ซุกซ่อนยาอี 200 เม็ด ที่คลังสินค้าของบริษัทขนส่งสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ ซึ่งถูกส่งมาจากประเทศออสเตรีย โดยระบุผู้รับปลายทางเป็นตู้จดหมายของบริษัทซึ่งประกอบธุรกิจให้เช่า ตั้งอยู่ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี และต่อมาวันที่ 23 เมษายน ได้ร่วมกันตรวจยึดพัสดุไปรษณีย์ซุกซ่อนยาอี100 เม็ด ที่ตู้จดหมายของบริษัทแห่งหนึ่ง สาขาศูนย์การค้าชื่อดัง ถูกส่งมาจากประเทศเยอรมนี จากการสืบสวนทราบว่า ผู้เช่าใช้บริการตู้จดหมายทั้งสองแห่งเป็นบุคคลเดียวกัน จากนั้นวันที่29เมษายน เจ้าหน้าที่สืบทราบว่ามีการส่งยาอีมาศูนย์การค้าดังกล่าวอีกครั้ง จึงเฝ้าติดตามกระทั่งวันที่ 30เมษายน ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาเอาไว้ได้

Advertisement

นายศิรินทร์ยา กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ลักลอบสั่งซื้อยาอีเข้ามาในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มชาวต่างชาติ (ไม่จำกัดสัญชาติ) ร่วมกับกลุ่มวัยรุ่นหรือนักท่องเที่ยวชาวไทย สั่งซื้อยาอีผ่านทางโซเซียลมีเดีย ผู้จัดหาจะลักลอบส่งทางพัสดุไปรษณีย์จากประเทศในยุโรป ผ่านประเทศออสเตรีย เยอรมนี หรือประเทศอื่นที่ไม่ได้เป็นแหล่งยาผลิต เบื้องต้นแจ้งข้อหานำยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เอ็กซ์ตาซี่หรือยาอี) เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย และมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เอ็กซ์ตาซี่หรือยาอี) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฏหมายและมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ไอซ์ เอ็กซ์ตาซี่หรือยาอี และยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 กัญชา ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฏหมาย

คดีที่ 3 ตำรวจกก.1 บก.ปส.4 จับกุมนายจักรี อุ่นสำราญ อายุ 31 ปี นายเฉลิม นาคภักดี อายุ 29 ปี นายเสรินทร์ ยาเพ็ชรน้อย อายุ 32 ปี นายทันณกร สุมทอง อายุ 32 ปี นายศานิต อิสสอาด อายุ 34 ปี และน.ส.ชุ(นามสมมุติ) อายุ 18 ปี พร้อมยาบ้า 401,531 เม็ด รถยนต์ 3 คัน โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง และอาวุธปืนขนาด 9 มม. กระสุนปืนจำนวน 9 นัด โดยสามารถจับกุมนายเสรินทร์ นายทันณกร นายศานิตและน.ส.ชุ ได้ภายในปั๊มน้ำมันบางจาก ถนนพระราม 2 ต.แพรกหนามแดง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม และสามารถจับกุมนายจักรี และนายเฉลิมได้ที่ลานจอดรถภานลยในห้างสรรพสินค้าชื่อดังในจ.นครปฐม เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย

และคดีที่4 เจ้าหน้าที่ บก.สก.บช.ปส. จับกุมนายเอีย มิ้งไซย สัญชาติลาว โดยสามารถจับกุมได้จับกุมได้ที่อ.เมือง จ.มุกดาหาร การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากนายเอีย มีพฤติกรรมลักลอบขนยาเสพติดเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 6 ครั้ง และทำหน้าที่กดเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆในตัวอ.เมือง จ.มุกดาหาร และนำเงินสดข้ามกลับไปยัง ประเทศลาว ตรวจสอบแล้วเป็นเงินค่ายาเสพติดที่โอนมาจากจังหวัดทางภาคใต้ของไทย ทั้งนี้นายเอีย เป็นกลุ่มของนายอุไท คำอวน ชาวลาว ซึ่งเป็นเครือข่ายของนายสีสุก และนายไซซะนะ

นายศิรินทร์ยา กล่าวว่า สำหรับปฏิบัติการชัยยะ สยบไพรี 60/4 เป็นการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวนหลายหน่วยงาน ซึ่งมีเป้าหมายมุ่งอายัดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติดของนายไซซะนะ เครือข่ายท้าวสีสุก ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายของนายอุสมาน สะแลแมง ผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการนำยาเสพติดจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไปส่งยังพื้นที่ภาคใต้ และประเทศมาเลเซีย หนึ่งในการปฏิบัติการที่สำคัญคือการนำกำลังยึดทรัพย์สินเครือข่ายของนายสีสุกที่จ.อุดรธานี ได้ทรัพย์สินทั้งรถยนต์หรู โฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทรัพย์สินอื่นๆรวม 100 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ทางการลาวยึดทรัพย์สินท้าวสีสุก 200 ล้านบาทแล้ว ทั้งนี้เครือข่ายยาเสพติดสำคัญมี 4 เครือข่าย ตำรวจปส.สามารถจับกุม และยึดทรัพย์สิน จำนวนมาก ไปแล้ว3 เครือข่าย ประกอบด้วย นายสีสุก ยึดกว่า300ล้านบาท นายพรประสงค์ที่ทางการลาวจับกุม ยึดทรัพย์สินได้ 400 ล้านบาท และเครือข่ายนายไซซะนะ ยึดที่ดิน ทรัพย์สินอื่นๆรวม 300 ล้านบาท ขณะที่อีก 1 เครือข่าย คือเครือข่ายนายอุสมาน สะแลแมง ที่เปลี่ยนชื่อหลบหนีอยู่ในลาว ขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างการประสานทางการลาว กัมพูชา และมาเลเซีย เพื่อติดตามตัวเนื่องจากเชื่อว่านายอุสมานหลบหนีออกจากลาวแล้วเนื่องจากการกดดันจากฝั่งเจ้าหน้าที่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image