อ่านชัดๆ”หมอธีระวัฒน์” ชี้ หลายข้อดี หากปลดล็อกกัญชา นำไปใช้ในการแพทย์ได้

วันนี้ (23 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊ก แสดงความเห็นเกี่ยวกับการปลดล็อกกัญชา โดยระบุว่า

การปลดล็อคกัญชาทางการแพทย์ จุดมุ่งหมายสำคัญ คือการให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สูงสุดและโดยเฉพาะที่ป่วยจากโรคที่รักษาไม่ได้และมีภาวะที่ยากต่อการควบคุมและมีผลกระทบกับคนรอบข้างคนในครอบครัว

ข้อเสีย 1. การใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์

ข้อดี ข้อบ่งชี้ในการใช้กัญชาทางการแพทย์และการใช้อาจเป็นการเน้นที่สารTHC หรือ CBD (cannabidiol) หรือทั้ง 2 ตัว ทั้งนี้รูปแบบที่จะเอามาใช้เลยคือ น้ำมันโดยที่น้ำมันกัญชาควรต้อง ปรับมาตรฐาน ให้ใกล้เคียงกันทุกขวดโดยขนาดและปริมาณที่ต้องใช้ในแต่ละภาวะจะต้องมีข้อมูลอยู่แล้วทั้งนี้ แต่ละหยดควรทราบปริมาณคร่าวๆ ของ THC และCBD สำหรับการวิจัยควรอิงกับตำรับแผนไทยและสืบค้นให้ได้ว่ามีอะไรนอกจาก THC และCBD ที่สามารถนำมาใช้ได้อีก การใช้สารสังเคราะห์ THC เป็นยาดังที่มีในรายงานนี้ พบว่าได้ผลดี ในประเทศไทยไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องสั่งยาที่ขึ้นทะเบียนเหล่านี้ในต่างประเทศมาให้ผู้ป่วย เพราะประเทศไทยมีกัญชาอยู่ทั่วไปแต่ถูกจำกัดและมองข้ามประโยชน์ถูกมองเป็นการที่มีแต่โทษตั้งแต่ปีพ.ศ. 2522 ที่ง่ายที่สุดที่สามารถนำมาใช้ได้เกือบทันทีคือน้ำมันกัญชา โดยที่สามารถสกัดได้เองเพียงแต่ให้ทราบความเข้มข้นโดยประมาณ ก็สามารถนำมาใช้ได้อย่างปลอดภัยและราคาถูกแสนถูก

Advertisement

1. ภาวะที่ทางการแพทย์ทั่วไปมีการยอมรับให้ใช้โดยที่มีความเชื่อมั่นว่าได้ผล ได้แก่ อาการเจ็บปวดที่เกิดจากเส้นประสาทและระบบประสาทเสียหาย อาการปวดที่เกิดขึ้นจากโรคมะเร็ง อาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจากการใช้ยาเคมีบำบัด โรคลมชักในเด็กที่ดื้อยาสองโรค และอาการแข็งเกร็งของลำตัวแขนขาที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของระบบประสาทที่เกิดจากโรค multiple sclerosis และภาวะเบื่ออาหาร สุขภาพโทรมในคนไข้เอดส์ รวมทั้งเพื่อบรรเทาสภาพคนป่วยโรค Tourette ที่ประกอบด้วยกลุ่มอาการยึกยักของกล้ามเนื้อใบหน้าคอและเนื้อตัวร่วมกับมีการทำเสียงอึกอักหรือเปล่งคำหยาบโดยควบคุมไม่ได้

2. อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงภาวะและโรคที่กล่าวข้างต้นจะพบว่าการใช้กัญชาในทางการแพทย์แทบจะไม่มีประโยชน์เลย กล่าวคือ ยังมีภาวะและโรคอีกมากมาย ที่ควรจะได้ประโยชน์ทั้งในด้านของคุณภาพชีวิตเพื่อบรรเทาอาการทนทุกข์ทรมานรวมทั้งในด้านการป้องกันและชะลอโรคไม่ให้ลุกลามมากขึ้น ทั้งนี้โดยที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แล้ว รวมถึงข้อมูลในผู้ป่วย มาร่วมประกอบกันภาวะและโรคที่ควรต้องควบรวมบรรจุเพิ่มเติมอยู่ในรายการที่กัญชาจะสามารถนำมาใช้ได้ในคนป่วยในประเทศไทยได้แก่

a. อาการแข็งเกร็ง ที่อาจร่วมกับการบิดของกล้ามเนื้อที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง ยกตัวอย่างเช่นที่เกิดจากเส้นเลือดตันหรือแตก ความผิดปกติที่ระดับของไขสันหลัง และรวมถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเด็กหลังคลอดที่มีสมองพิการหรือเจริญเติบโตผิดปกติ

Advertisement

b. อาการปวดทรมาน ที่นอกเหนือจากมะเร็งหรือปวดจากความผิดปกติของเส้นประสาทหรือระบบประสาท. ยกตัวอย่างเช่นอาการปวดที่เกี่ยวเนื่องจากการอักเสบของข้อ เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อซึ่งโดยปรกติจะตัองใช้ยาแก้ปวดอย่างรุนแรงและร่วมกับยาแก้ปวดที่เป็นอนุพันธ์ของมอร์ฟีน

c. ภาวะของการปฏิเสธอาหารทั้งที่เกิดขึ้นจากโรคทางจิตประสาท anorexia nervosa และโรคทางกายที่เกิดขึ้นที่มีผลกระทบกับจิตใจ

d. โรคทางสมองได้แก่โรคพาร์กินสันส์และโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ ในทางป้องกัน การชะลอโรค และการบรรเทาอาการที่มีอยู่

e. โรคลมชักทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถคุมด้วยยากันชักหนึ่งชนิด

f. โรคจิตschizophrenia หรือโรคจิตเภท

g. สำหรับเรื่องเกี่ยวกับมะเร็งสามารถจะสามารถเอาเข้าไปใช้ได้เลยเพื่อพยุงคุณภาพชีวิต ในเรื่องของความเจ็บปวดความหดหู่ เบื่ออาหารหรือมี อาเจียนขณะให้เคมีบำบัด ขนาดที่จะใช้จะมีข้อมูลอยู่แล้ว แต่ถ้าให้ในกรณีของมะเร็งแต่ต้น อาจจะมีปัญหา เพราะไม่ทราบว่าถ้าหวังผลทางรักษาควรเป็น THC หรือ CBD ขนาดใดและอย่างใดมากกว่ากัน ดังนั้นควรให้ในบริบทที่กล่าวข้างต้น ในขนาดและปริมาณตามวัตถุประสงค์ และต้องยึดกับแผนปัจจุบันเพื่อไม่ให้เสียโอกาส

h. ส่วน พาร์กินสัน และ อัลไซเมอร์ (ที่ไม่มีปัญหาทางอารมณ์) ไม่มีสูตร ตายตัว แต่ควรใช้ สูตรที่มีทั้ง THC และ CBD เท่ากัน เพราะ THC ได้ทางอารมณ์ เป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิต และ ทั้ง 2 ตัว มีฤทธิ์ทางชะลอโรค ดังนั้นใช้ 1:1 และขนาดหรือจำนวนหยดค่อยๆ ปรับได้หมดหวังถ้าจะมีการควบคุมการใช้กัญชาโดยกำหนดว่าผู้ป่วยจะต้องหมดหนทางกับยาที่ใช้ในปัจจุบัน!!!!!

จากรายงานการศึกษาในที่ประชุมนานาชาติของสมาคมอัลไซเมอร์ส ซึ่งคณะผู้ศึกษาได้รายงานในวันที่ 24 กรกฎาคม 2018 โดยได้ใช้ยากัญชาสังเคราะห์ THC nabilone ซึ่งเป็นยาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในการบรรเทาอาการอาเจียนในผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด ขนาดที่ใช้อยู่ที่วันละหนึ่งถึงสอง มิลลิกรัม มีผู้ป่วยสมองเสื่อม 39 รายที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรงทั้งสิ้นอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 87 ปี และ 77% เป็นผู้ชาย ผู้ป่วยเหล่านี้ทั้งหมดมีลักษณะอาการทางอารมณ์ วุ่นวายรุนแรง และควบคุมไม่ได้จากการใช้ยาหลายชนิดซึ่งเป็นยาโรคจิต จากการให้สารสังเคราะห์กัญชาเป็นเวลาหกสัปดาห์ หยุดหนึ่งสัปดาห์และให้ยาหลอกอีกหกสัปดาห์พบว่าขณะที่ให้กัญชาผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจนสร้างความพอใจให้กับผู้ดูแลและผู้ที่อยู่รอบข้าง ในการใช้ยังคงต้องระวังเนื่องจากทำให้กระบวนการของสมองในการสั่งปฏิบัติงาน จะเฉื่อยลงบ้าง และจำเป็นต้องระวังอย่างกวดขัน ในการทำกิจกรรมที่สุ่มเสี่ยงอันตรายรวมทั้งการขับรถ ซึ่งในความเป็นจริงอาจไม่ต้องมีความเป็นห่วงมาก เพราะจุดมุ่งหมายเพื่อนำไปใช้ในผู้ป่วยซึ่งมีข้อจำกัดในการดำเนินชีวิตประจำวันบ้างอยู่แล้วในการช่วยเหลือตนเอง และทำให้เป็นภาระกับคนรอบข้างถึงระดับที่ต้องมีคนในครอบครัวอยู่เป็นเพื่อนตลอดหรือถึงกับต้องจ้างคนมาช่วยหรือต้องส่งไปยังสถานพักฟื้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่ได้เป็นโรคที่เกิดกับคนเดียวแต่มีผลกระทบกับคนรอบข้างไปทั่ว โดยที่ทั้งนี้ในบางรายอาจมีอาการง่วงเหงาหาวนอนซึ่งก็สามารถปรับขนาดยาได้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image