เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมนายมนัส โกศล โฆษกกรรมาธิการ (กมธ.) เงินทดแทน กล่าวถึงกรณี พ.ร.บ. เงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ว่า กฎหมายฉบับดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ 60 วันหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา 60 ซึ่งก็คือวันที่ 11 ธันวาคม 2561 ตรงนี้เสมือนเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ลูกจ้างทั่วประเทศกว่า 10 ล้านคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกจ้างในส่วนราชการอีกกว่า 1 ล้านคน ซึ่งไม่เคยได้รับสิทธิประโยชน์มาก่อนเลย อย่างไรก็ตาม ตนกังวลว่าแม้กฎหมายจะออกมาแล้ว แต่หน่วยงานราชการอาจยังไม่เข้าใจถึงสิทธิประโยชน์ที่เกิดขึ้นมากพอและไม่ได้ประชาสัมพันธ์ให้ลูกจ้างส่วนราชการรับทราบ ทำให้เข้าไม่ถึงสิทะประโยชน์ที่ควรได้รับ
นายมนัส กล่าวว่า สำหรับสิทธิประโยชน์สำหรับลูกจ้างส่วนราชกรที่ไม่เคยมีมาก่อนและได้รับในครั้งนี้ คือ 1.กรณีเจ็บป่วยจากการทำงาน และแพทย์สั่งให้หยุดงาน ก็จะได้ค่าชดเชยการขาดรายได้ ร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือน ตั้งแต่วันแรกที่หยุดงาน 2.กรณีทุพพลภาพจากการทำงาน จะได้รับค่าทดแทนการขาดรายได้ไม่น้อยกว่า 15 ปี 3.กรณีเสียชีวิตเนื่องจากการทำงานหรือนายจ้างสั่ง จะได้ค่าชดเชยการขาดรายได้ร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือนเป็นเวลา 10 ปีหรือ 120 เดือน และ 4.ค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยจากการทำงาน เดิมไม่เคยมีเลยก็ได้รับค่ารักษาพยาบาลจนสิ้นสุดการรักษาไม่ว่าค่ารักษาจะเป็นเท่าไรก็ตาม ซึ่งทั้งหมดแค่เพียงเข้าทำงานวันแรกก็สามารถได้รับสิทธิทันที ส่วนลูกจ้างส่วนเอกชนก็ถือว่าได้รับสิทธิเพิ่ม โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลซึ่งเดิมตั้งเพดานที่ 2 ล้านบาท ก็เป้นจนการรักษาสิ้นสุด ซึ่งขณะนี้กองทุนเงินทดแทนมีอยู่ประมาณ 6 หมื่นกว่าล้านบาท
นายมนัส กล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยพบว่าลูกจ้างส่วนราชการ เมื่อเกิดการเจ็บป่วยจากการทำงานกลับไปใช้สิทธิบัตรทองในการรักษา หรือใช้สิทธินอกประกันสังคมแบบผิดประเภท จึงอยากให้หน่วยงานภาครัฐช่วยกันประชาสัมพันธ์ถึงสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างส่วนราชการจะได้รับว่าสามารถใช้สิทธิของกองทุนเงินทดแทนในการดูแลได้ โดยเฉพาะกลุ่มพวกคนเก็บขยะ ทำความสะอาด กลุ่มนี้มักเกิดอุบัติเหตุได้ตลอด ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ตนได้ก่อนกฎหมายจะผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็ได้ไปจัดอบรมสัมมนาลูกจ้างของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ทุกเขต เทศบาล อบต. โรงพยาบาล รวมแล้วหลายพันคน เพื่อพูดถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับหากเจ็บตัวจากการทำงานตาม พ.ร.บ.ฉบับใหม่ ซึ่งจากนี้หากหน่วยงานรัฐภาคใดที่อยากให้ตนช่วยประชาสัมพันธ์ถึงสิทธิ ก็ยินดีมาให้ข้อมูลโดยไม่มีค่าใช้จ่าย