สปสช.จับมือเครือข่าย ลุยตรวจโควิดพระภิกษุ-เณร-ปชช. ยันแจกเอทีเค ส.ค.-ก.ย.นี้

สปสช.จับมือเครือข่าย ลุยตรวจโควิดพระภิกษุ-เณร-ปชช.ยันแจกเอทีเค ส.ค.-ก.ย.นี้

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม คณะผู้บริหารสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นำโดย นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช., นพ.อภิชาติ รอดสม รองเลขาธิการ สปสช. และ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการและโฆษก สปสช. ลงพื้นที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์ จ.นนทบุรี เยี่ยมชมการดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกโควิด-19 ให้กับพระภิกษุสามเณร และบุคลากรวัดชลประทานรังสฤษฏ์ โดยมี ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เป็นทีมตรวจ

สำหรับการตรวจคัดกรองเชิงรุกครั้งนี้ ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายไว้ที่ 500 ราย แต่ได้มีการประเมินเผื่อไว้ในกรณีที่มีพระสงฆ์ สามเณร และประชาชนนอกพื้นที่ที่จะเข้ามาตรวจด้วย โดยคาดว่าจะมีทั้งสิ้นประมาณ 800 ราย ซึ่งได้มีการเตรียมชุดตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท (Antigen Test Kit: ATK) เพื่อรองรับอย่างเพียงพอ

Advertisement

พระปัญญานันทมุนี (สง่า สุภโร) เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ กล่าวว่า การตรวจคัดกรองเชิงรุกในครั้งนี้มีการปรึกษากันว่าจะต้องทำให้สมบูรณ์ เมื่อมีการตรวจแล้วพบเป็นบวกแต่ไม่มีอาการก็สามารถรักษาตามระบบได้ ขณะนี้วัดกู้ จ.นนทบุรี ก็ได้มีการจัดตั้งศูนย์พักคอย (Community isolation) รองรับได้ 60 เตียง และกำลังรอการขยาย ในกรณีถ้าเป็นสีแดง รพ.ชลประทาน จะเข้าไปดูแล และมี สปสช. เป็นผู้อุปถัมภ์ รวมไปถึงเทศบาลนครปากเกร็ดลงพื้นที่เข้าไปบริการดูแล

“ถ้าทำแบบนี้ได้การใช้วัดก็จะเป็นประโยชน์ แต่ถ้าจะเอาคนป่วยมาให้พระดูแล โดยที่พระเองก็ไม่รู้ ก็จะทำให้ยิ่งพัวพันโดยไม่จำเป็น” พระปัญญานันทมุนี กล่าว

พระปัญญานันทมุนี กล่าวว่า ที่ผ่านมา เคยมีการตรวจคัดกรองในวัดแล้ว และพบว่าผู้ที่เข้ามาช่วยเหลืองานในวัดนั้นครอบครัวติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 3 ราย ด้วยการจัดการยังไม่เป็นระบบที่ถูกต้อง และไม่มีการตอบรับ ทำให้ผู้ป่วยต้องรอถึง 8 วัน เนื่องจากระบบไม่เอื้ออำนวย สิ่งที่อยากเห็นคือ สปสช. เทศบาลนครปากเกร็ด รพ.ชลประทาน และคณะสงฆ์ จ.นนทบุรี ลุกขึ้นมาตรวจเชิงรุกมากกว่าการตั้งรับแบบไม่มีอนาคต รวมไปถึงถ้าในชุมชนสามารถขยายให้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้หมด พระสงฆ์ก็จะได้ไปด้วย เพราะพระไม่ได้เรียกร้องสิทธิเฉพาะตนเองเท่านั้น

Advertisement

นพ.ธนวัฒน์ อุณหโชค รองผู้อำนวยการฝ่ายสำนักศูนย์ ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ กล่าวว่า สำหรับพระสงฆ์และสามเณรที่ตรวจคัดกรองแล้วมีผลเป็นบวก (ติดเชื้อ) หากเป็นกลุ่มอาการสีเขียวและได้รับการประเมินแล้วว่าสภาพกุฏิหรือสภาพแวดล้อมมีความเหมาะสม ก็สามารถรักษาตัวผ่านระบบโฮม ไอโซเลชั่น ได้ แต่ถ้าไม่เข้าเกณฑ์ก็จะมีการส่งต่อไปรักษาด้วยระบบคอมมูนิตี้ ไอโซเลชั่น ที่วัดกู้ ซึ่งกำลังพัฒนาเป็นคอมมูนิตี้ ไอโซเลชั่น สำหรับพระสงฆ์และสามเณรโดยเฉพาะ ส่วนกรณีที่เป็นพระสงฆ์และสามเณรที่อยู่นอกพื้นที่ก็จะมีระบบส่งต่ออย่างเป็นระบบต่อไป

“สำหรับประชาชน ได้มีการประสานการทำงานกับเทศบาลนครปากเกร็ด โดยผู้ที่ผลตรวจเป็นบวกและอยู่ในกลุ่มอาการสีเขียวที่อยู่ในพื้นที่ปากเกร็ด ก็สามารถเข้ารักษาด้วยระบบโฮม/คอมมูนิตี้ ไอโซเลชั่นได้ทันที แต่ในกรณีที่เป็นประชาชนนอกพื้นที่ ก็จะมีการประสานงานกับ สปสช. เพื่อส่งต่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตามระบบต่อไป” นพ.ธนวัฒน์ กล่าวว่า การตรวจคัดกรองครั้งนี้ สปสช. ได้สนับสนุนยาฟาวิพิราเวียร์ และฟ้าทะลายโจร รวมไปถึง รพ.ชลประทาน ก็เตรียมอุปกรณ์ เช่น ปรอทวัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนในเลือดแบบปลายนิ้ว และอุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็นด้วย

ด้าน นพ.จเด็จ กล่าวว่า การตรวจคัดกรองเชิงรุกนี้ นอกจากทำให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงสามารถเข้าถึงการตรวจได้ง่ายแล้ว หากกรณีพบผลเป็นบวกก็ยังทำให้ผู้ป่วยสามารถลงทะเบียนเข้าระบบโฮม ไอโซเลชั่น ได้ทันที และหากมีอาการก็จะมีการจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการของผู้ป่วยเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง สำหรับการเข้าระบบโฮม ไอโซเลชั่น สามารถทำได้ 2 วิธี คือผ่านสายด่วน สปสช. 1330 กด 14 และลงทะเบียนเข้าระบบผ่านเว็บไซต์ https://crmsup.nhso.go.th/ โดยขณะนี้สายด่วน 1330 มีการเพิ่มคู่สายเป็น 2,100 คู่สายต่อวัน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่คอยหมุนเวียนตลอด 24 ชั่วโมง หรือหากในกรณีที่คู่สายเต็ม เบอร์ที่โทรเข้ามาก็จะถูกเข้าคิวไว้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการติดต่อกลับในภายหลัง

นพ.จเด็จ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ สปสช. อยู่ระหว่างดำเนินการจัดหาชุดตรวจเอทีเค จำนวน 8.5 ล้านชุด เพื่อแจกให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงสามารถตรวจหาเชื้อโควิด-19 ได้ด้วยเอง ในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ และหากไม่เพียงพอก็จะจัดหาเพิ่มเติมควบคู่ไปกับการจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ด้วย โ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image