‘สาธิต’ ยันแม้พบโควิดกลายพันธุ์ ยังเปิด ปท.ได้ จ่อชงตรวจ ATK ให้เพื่อนบ้านเข้าช้อปในไทย 1 วัน
เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการ สธ. กล่าวถึงความพร้อมในการเปิดประเทศวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ว่ารัฐบาลมีความแน่วแน่ที่จะเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาใน 2 ระบบ ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศกรณีที่ 1 การเปิดประเทศตามข้อกำหนด (13) รองรับ 45 ประเทศ 1 เขตบริหารพิเศษ โดยไม่ต้องกักตัว มีหลักการ 4 ข้อ คือ 1.ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม 2.ตรวจอาร์ที-พีซีอาร์ (RT-PCR) ผลลบก่อนเดินทาง 3.มาถึงแล้วต้องนอนโรงแรม 1 คืน รอผลตรวจซ้ำ ถ้าลบเดินทางได้ทุกที่ในประเทศไทย 4.โรงแรมที่รับนักท่องเที่ยวเป็นซีลรูท (Seal route) จากโรงแรมถึงสนามบินนานาชาติ เช่น สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต ตัวโรงแรมต้องไม่ไกลเกิน 2 ชั่วโมง ส่วนเด็กที่ฉีดวัคซีนและไม่ได้ฉีด ก็ต้องตรวจอาร์ที-พีซีอาร์ ซ้ำเช่นกัน หากเป็นบวกก็เข้าระบบรักษา และเพื่อไม่ให้แพร่ระบาดคนในประเทศ
“ส่วนพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ตามข้อกำหนด (12) คือประเทศที่นอกเหนือจาก 45 ประเทศ 1 เขตบริหาร จะต้องเดินทางมาตามเงื่อนไขในแซนด์บ็อกซ์ ก็จะมีมาตรการและพื้นที่ เช่น ภูเก็ต ต้องฉีดวัคซีนครบ มีการตรวจอาร์ที-พีซีอาร์ อยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยวนั้น 7 วัน ทั้งนี้ หลายจังหวัดที่สำรวจความพร้อม กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ระบุว่ามีหลายจังหวัดเสนอไปแล้ว เช่น เลย กรุงเทพมหานคร ชลบุรี (บางละมุง) ระยอง (เกาะเสม็ด) และเกาะใน จ.ตราด ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของแต่ละพื้นที่ที่คณะกรรมการโรคติดต่อกำหนด” นายสาธิตกล่าว
รัฐมนตรีช่วยว่าการ สธ.กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม กรมควบคุมโรค ร่วมกับ กระทรวงคมนาคม มีการซักซ้อมที่สนามบิน 2 ครั้ง เพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และจัดระบบเพื่อให้อยู่ในสนามบินไม่เกินช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งไม่ให้แออัด ความพร้อมถือว่าคืบหน้าพอสมควร
“อาจมีข้อเสนอของประเทศที่อยู่ติดชายแดน กำลังรอการประชุมเพื่อสรุปสุดท้ายว่ามีข้อเสนอว่าประเทศเพื่อนบ้านตามเงื่อนไขฉีดวัคซีนแล้วจะเข้าประเทศไทย โดยการตรวจ ATK แล้วเข้ามาอยู่ในไทยเพียง 1 วัน เช่น หาดใหญ่ ลาวเข้าฝั่งหนองคาย พม่าในฝั่งเขตติดต่อ เดินทางเข้ามาภายใน 1 วัน เพื่อใช้จ่ายกลับแล้วกลับประเทศ ถ้าตรวจพบก็รักษา แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป
“แต่เป็นข้อเสนอที่ร่วมมือกันระหว่าง สธ. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และฝ่ายความมั่นคง แต่หลักการเป็นไปตามนี้ ถือว่ามีความพร้อมเพิ่มขึ้นตามลำดับ ขอให้มั่นใจว่าเรามีระบบเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 และจากการติดตามก็ยังไม่พบเชื้อตัวใดในไทยที่มีนัยยะสำคัญจนถึงต้องทบทวนเรื่องการเปิดประเทศ” รมช.สธ.ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนักท่องเที่ยวมาประเทศไทยมีความเสี่ยง สงสัยตรวจ RT-PCR ต้องจ่ายเองหรือไม่ นายสาธิตกล่าวว่า นักท่องเที่ยวออกเอง เราเน้นนักท่องเที่ยวคุณภาพ เช่น สมุยพลัส เดิมมีข้อกังวลนักท่องเที่ยวคนไทยเข้าสมุยพลัส ต้องออกค่าใช้จ่าย ATK เอง เดิมราคาสูง หลักการเราต้องการให้นักท่องเที่ยวออกค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งตอนหลังมีการลดค่าใช้จ่าย ราคาถูกลงมาก จึงต้องให้นักท่องเที่ยวออก หรือหากคุยกับโรงแรมก็อีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อถามต่อว่าหากพบการติดเชื้อ สธ.จะเฝ้าระวังเชื้อกลายพันธุ์หรือไม่อย่างไร นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ระบบการเฝ้าระวัง เราคัดเลือกกลุ่มที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว การเดินทางมาเป็นหลักเกณฑ์ เช่น ตะเข็บชายแดน คนอาการหนัก คลัสเตอร์ที่ไม่รู้ที่มา เราก็เก็บมาตรวจ ขอให้ความมั่นใจได้
“เรามีข้อมูลเชื่อมโยงว่านักท่องเที่ยวมาจากพื้นที่ไหน ถ้ามีการกลายพันธุ์สูง เราก็เพ่งเล็งในการตรวจ ต้องเรียนว่าการตรวจการกลายพันธุ์ใช้น้ำยาเฉพาะตรวจทำได้ในพื้นที่ ไม่ต้องส่งกรมวิทย์ ตรวจสัปดาห์ละหลายพันราย แต่ที่ต้องถอดรหัสพันธุกรรม ทั้งตรวจยุ่งยากซับซ้อน ต้องตรวจกรมวิทย์ส่วนกลาง ฉะนั้น การเฝ้าระวังในพื้นที่ เมื่อเกิดการกลายสายพันธุ์แล้วไม่นานก็มีน้ำยาเฉพาะช่วยพื้นที่ตรวจได้” นพ.ศุภกิจกล่าว
นพ.ศุภกิจกล่าวว่า จากการเฝ้าดูของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก พบว่าเชื้อโควิดเริ่มแผ่วลง หมายความว่าการปรับตัวของเชื้อส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์ ความรุนแรงเริ่มลดลง แม้จะยังแพร่ได้ก็ตาม เป็นสัญญาณค่อนข้างดีว่าสุดท้ายจะเป็นโรคประจำถิ่นป่วยได้บ้าง ส่วนค่าตรวจ RT-PCR ถูกลดลงเรื่อยๆ จากเดิม 2,300 บาท สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้เบิกเป็นค่าตรวจ 1,600 บาท บวกค่าดำเนินการ 700 บาท ตอนนี้กรมวิทยาศาสตร์ฯประกาศค่าตรวจเหลือ 1,300 บาท ค่าดำเนินการ สปสช.ให้ 100-300 บาท ตามกรณี สุดท้ายคือไม่เกิน 1,600 บาท แต่ในอนาคตจะต่ำลงอีก เพื่อช่วยให้การเปิดประเทศ ค่าใช้จ่ายถูกลง รวมถึงการตรวจ ATK ที่องค์การเภสัชกรรม (อภ.) จำหน่ายไม่เกิน 40 บาท ดังนั้น อุปสรรคก็จะน้อยลง ทำให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศ เมื่อความจำเป็นการตรวจน้อยลง อาจไม่ต้องตรวจก็ได้ ต้องดูสถานการณ์ข้อเท็จจริง
