เมื่อวันที่ 18 เมษายน พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติและรับทราบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ. …ว่า สาเหตุที่ต้องออกกฎหมายกำหนดให้สถาบันพระบรมราชชนก เป็นสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางของรัฐในสังกัด สธ. เนื่องจากที่ผ่านมา การเรียนการสอนในหลักสูตรต่างๆ ของสถาบันฯ จะไปผูกกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จำนวน 37 แห่ง ผูกกับมหาวิทยาลัย 7 แห่ง ส่งผลให้ไม่สามารถผลิตบัณฑิตตามความต้องการด้านกำลังคนของ สธ.ได้ เนื่องจากการทำหลักสูตร หรือการรับจำนวนนักศึกษาขึ้นอยู่กับสภามหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง ขณะที่เวลารับปริญญาก็เหมือนกับอยู่คนละสถาบัน ต้องใช้ครุยถึง 7 สี 7 แบบ ตามที่มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งกำหนด
“เพื่อให้การผลิตกำลังคนด้านสาธารณสุขสอดคล้องกับแผนของ สธ. จึงมีการยกระดับสถาบันพระบรมราชชนก เป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของ สธ. คล้ายกับสถาบันการพลศึกษา ที่ยกระดับขึ้นเป็นสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น ซึ่งหลังจาก ครม.อนุมัติในหลักการแล้ว จะส่งร่าง พ.ร.บ.ฯ ไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาตามลำดับ เพื่อออกเป็นกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ การที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของ สธ. จะส่งผลให้สามารถพัฒนาการศึกษา จัดการเรียนการสอน และกำลังคนตามความต้องการของระบบสาธารณสุขได้ เบื้องต้นจะมีการเปิดสอน 2 คณะ คือ คณะพยาบาลศาสตร์ และคณะสหเวชศาสตร์ เช่น ทันตาภิบาล สาธารณสุขศาสตร์ โสตทัศนศึกษาทางการพทย์ เป็นต้น” พญ.พรรณพิมล กล่าว
นอกจากนี้ พญ.พรรณพิมล กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ฯ ยังกำหนดให้วิทยาลัยการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีทุกแห่ง วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้าจันทบุรี วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม และวิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุข กาญจนาภิเษก ที่จัดตั้งขึ้นตามประกาศ สธ.เป็นส่วนราชการของสถาบันฯ ด้วย