น้อมรำลึก พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน โดย : รัฐพงศ์ บุญญานุวัตร

ในโลกนี้ไม่มีประชาชนชาติใดที่จะโชคดีเสมอเหมือนกับชนชาวไทย ทั้งนี้ เพราะคนไทยทั้งปวงได้เกิดอยู่ภายใต้ร่มพระบารมีของพระมหากษัตริย์นักพัฒนาผู้ยิ่งใหญ่

มาถึงวันนี้เมื่อย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 วันนั้นเป็นวันที่คนไทยทั้งมวลต้องพบกับความโศกเศร้าเสียใจทั้งแผ่นดินกับการที่พ่อหรือพระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดินได้เสด็จสวรรคตสู่สวรรคาลัย

คนไทยนับแต่อดีตตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นต้นมามีการสร้างบ้านแปลงเมืองจนเจริญก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้เพราะได้อยู่ภายใต้ร่มพระโพธิสมภารภายใต้ร่มพระบารมีของพระมหากษัตริย์ผู้ซึ่งเปรียบเสมือนพ่อและครูของแผ่นดิน จวบจนปัจจุบันพสกนิกรชาวไทยได้เข้าสู่ใต้ร่มพระบารมีของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีในรัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 10

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงเป็นพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของปวงชาวไทยและชาวโลกที่มีพระราชหฤทัยเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาต่อพสกนิกรผู้อยากไร้ และผู้ด้อยโอกาสโดยไม่แบ่งแยกสถานะ ศาสนา ชาติพันธุ์ หรือหมู่เหล่า ทรงรับฟังปัญหาทุกข์ยากของราษฎร และพระราชทานแนวพระราชดำริเพื่อประชาชนให้สามารถพึ่งตนเองได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

Advertisement

ที่สำคัญวันนี้ประวัติศาสตร์ของชาติไทยได้ถูกบันทึกอย่างเป็นทางการแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงมุ่งเน้นเพื่อการพัฒนาให้พสกนิกรของพระองค์ท่านอยู่ดีมีสุขอย่างแท้จริง ซึ่งตลอดระยะเวลา 70 ปีแห่งการครองราชย์พระองค์ทรงได้อุทิศพระวรกาย ทรงคิดค้นนวัตกรรมและโครงการในหลากหลายมิติทั้งนี้ก็ด้วยความรักความห่วงใยที่มีต่อประชาราษฎร์ทั้งมวล และหากมีการศึกษาแนวทางแห่งการพัฒนาจะพบในเชิงประจักษ์ว่าไม่มีกษัตริย์ชาติใดที่ทรงยอมเหนื่อยยากและเสด็จฯทรงเยี่ยมเยียนประชาชนไปทั่วทุกถิ่นของประเทศ

โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ ที่พระองค์ท่านทรงทุ่มเทและคิดค้นในระยะหลายปีที่ผ่านมาได้มีการต่อยอดจนเกิดดอกออกผลนำไปสู่การพัฒนาเพื่อความกินดีอยู่ดีของประชาชนที่จับต้องได้และโครงการเหล่านั้นจะคงอยู่เพื่อได้รับการสืบสานพระราชปณิธานแห่งการพัฒนาให้ยั่งยืนสืบไป

อย่างไรก็ตาม วันนี้โครงการที่นำมาซึ่งการพัฒนานั้นใช่ว่าจะส่งผลดีเฉพาะสังคมไทยเท่านั้นแต่ในทางกลับกันแนวทางแห่งการพัฒนาและนวัตกรรมต่างๆ ได้ส่งผลดีต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมไปยังนานาประเทศโดยเฉพาะประเทศที่ผู้นำได้สัมผัสและศึกษาในเชิงประจักษ์ และเห็นถึงคุณค่าเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอันนำมาซึ่งการพัฒนาเพื่อความกินดีอยู่ดีของประชาชน

Advertisement

จากการที่พระองค์ท่านทรงมุ่งมั่นอุทิศพระวรกายเพื่อทรงศึกษาคิดค้นนวัตกรรมและองค์ความรู้ในหลากหลายมิติเพื่อประชาชนซึ่งเปรียบเสมือนลูกหลานอันแท้จริงนั้นจะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงมีความสุขกับการที่ได้ทรงงานในพระราชกรณีต่างๆ ซึ่งในมิตินี้สอดคล้องกับพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า “ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากการทำงานที่นี่ว่าที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้คือการอยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า คือคนไทยทั้งปวง….”

ในมิติของการพัฒนาที่สำคัญซึ่งนานาประเทศทั่วโลกยอมรับกันอย่างกว้างขวางคือการพัฒนาคนให้เป็นผู้ที่มีความพร้อมในทุกองค์รวม ซึ่งความพรัอมดังกล่าวจะเป็นต้นทางหรือรากฐานอันสำคัญในการนำไปสู่การพัฒนาสังคมและประเทศแห่งอนาคต ทั้งนี้ เพราะคนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด การพัฒนาคนให้เป็นทุนมนุษย์ที่สมบูรณ์มีความรู้ ความสามารถและมีคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุขนั่นคือหัวใจสำคัญสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกลพระองค์ทรงเห็นแล้วว่าการพัฒนาสังคมและประเทศชาติซึ่งจะนำไปสู่ความอย่างยั่งยืนและก้าวไปในทิศทางแห่งอนาคตที่มีประสิทธิภาพคงต้องเริ่มจากการวางรากฐานด้วยการพัฒนาทุนมนุษย์

ด้วยความสำคัญดังกล่าวสหประชาชาติซึ่งเป็นองค์กรหนึ่งที่เห็นความสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของมวลประชาชาติจึงกำหนดรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ (UNDP Humman Development Liftime Achievement Award) ให้เป็นรางวัลเกียรติยศด้านการพัฒนาของโครงการแห่งสหประชาชาติ โดยจะมอบแก่ Nation Human Devenlopment Report ที่มีผลงานดีเด่นทุก 2 ปี ซึ่งแบ่งเป็น 6 ประเภท และเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549 นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติในขณะนั้นพร้อมด้วยคณะได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนาทุนมนุษย์แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งรางวัลเกียรติยศที่ได้ทูลเกล้าฯถวายในครั้งนั้นเป็นความคิดริเริ่มของสำนักงานเลขาธิการสหประชาชาติที่ได้จัดเป็นกรณีพิเศษสำหรับมอบให้แก่บุคคลอันเป็นรางวัลประเภท Life-long achievement ซึ่งเป็นรางวัลที่ริเริ่มขึ้นใหม่ และในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นผู้ที่ทรงได้รับรางวัลอันสำคัญนี้เป็นพระองค์แรก

การพัฒนาทุนมนุษย์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่พระองค์ท่านทรงเล็งเห็นผลเลิศแห่งอนาคตซึ่งจะส่งผลเลิศสู่สังคมอันจะนำไปต่อยอดเพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนอีกหลากหลายมิติหนึ่งคือ “ศึกษา” และด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านมีพระราชกรณียกิจที่เป็นประโยชน์แก่วงการศึกษาไทยอย่างเหลือคณานับ โดยเฉพาะการส่งเสริมการศึกษาทั้งในระบบ นอกระบบ รวมทั้งกองทุนที่มุ่งเน้นในการส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อประโยชน์ของนักเรียน นักศึกษาตลอดจนผู้ประกอบวิชาชีพครู

กระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น ซึ่งมีนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีและได้มีมติเห็นชอบในการประชุมเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2553 เพื่อถวายพระราชสมัญญา “พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน” เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม พ.ศ.2554

จากการที่รัฐบาลได้ถวายพระราชสมัญญานาม พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน ในครั้งนั้น ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ในฐานะเลขาธิการสภาการศึกษา ได้อธิบายสาระสำคัญเสริมว่า “การถวายพระราชสมัญญานาม พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน ทำให้คำว่า “ครู” กลับมามีความหมายอีกครั้งตลอดจนทำให้คนที่จะก้าวมาเป็นครูมีความมั่นใจในอาชีพมากขึ้น”

ในประเด็นนี้ผู้เขียนใคร่ขอเสริมว่า วันนี้สังคมไทยต่างประจักษ์ชัดแล้วว่า ครูเป็นอาชีพที่มีความหมายและมีความสำคัญต่อสังคมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งครูทั้งหลายนับแต่อดีตถึงปัจจุบันต่างได้ปฏิบัติหน้าที่ในการพัฒนาคนพัฒนาชาติอันเปรียบเสมือนเรือจ้างหรือเรือทองที่ประคองสังคมไทยให้มีความวัฒนาถาวรตลอดมา

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระองค์ท่านทรงเป็นครู 2 ลักษณะ กล่าวคือ ทรงมีพื้นฐานแห่งความเป็นครู เห็นได้จาก สมเด็จพระบุพการีหลายพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างและทรงมีพระวิญญาณของความเป็นครู เช่น สมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จพระราชปิตุลา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งทุกพระองค์ทรงสนับสนุนการศึกษา ทรงสร้างโรงเรียน ทรงอบรมสั่งสอน ทรงมีวิธีการสอนอย่างแยบยล และสอนให้เป็นคนดี ดังพระราชดำรัสของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ความตอนหนึ่งว่า “คนดีของฉันรึจะต้องไม่พูดปด ไม่สอพลอ ไม่อิจฉาริษยา ไม่คดโกง และไม่มีความทะเยอทะยานอย่างบ้าๆ แต่ต้องพยายามทำหน้าที่ของตนให้ดีในขอบเขตของศีลธรรม”

จากความสำคัญดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ความเป็นครูจึงอยู่ในสายพระโลหิตของในหลวงพระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดินอย่างแท้จริง ด้วยความสำคัญของครู เนื่องในโอกาสที่ครูอาวุโสเข้ารับพระราชทานเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ เมื่อปี พ.ศ.2516 พระองค์พระราชทานพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า “งานของครูเป็นงานพิเศษผิดแปลกกว่างานอื่นๆ กล่าวในแง่หนึ่งที่สำคัญก็คือว่าครูจะหวังผลตอบแทนเป็นยศศักดิ์ ความร่ำรวยหรือประโยชน์ทางวัตถุเป็นที่ตั้งไม่ได้ ผลได้ส่วนสำคัญจะเป็นผลทางใจ ซึ่งผู้เป็นครูแท้จริงก็พึงใจและภูมิใจอยู่แล้ว”

วันนี้หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2559 ซึ่งเป็นวันที่คนไทยทั้งในและต่างประเทศต้องโศกเศร้าเสียใจและอาลัยยิ่งเมื่อพระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดินเสด็จสวรรคต จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่าพสกนิกรของพระองค์ท่านได้แสดงออกซึ่งความจงรักภักดีและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านมาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ก็ด้วยการที่พระองค์ทรงเป็นพ่อหรือพระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดินอย่างแท้จริงเชื่อว่าพระองค์ท่านจะตราตรึงอยู่ในใจของคนไทยตราบนิรันดร์

เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและสืบสานในพระราชปณิธานของพระมหากษัตริย์นักพัฒนาอันจะนำมาซึ่งการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งอนาคต วันนี้คนไทยทุกหมู่เหล่าจึงควรที่จะตั้งมั่นด้วยการสานต่อที่พ่อทำโดยการน้อมนำเอาแนวพระราชดำริ และโครงการต่างๆ โดยเฉพาะการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งถือได้ว่าเป็นศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาที่สำคัญยิ่ง ไปขยายผลและต่อยอดสู่การปฏิบัติซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาสังคมและประเทศให้อย่างยั่งยืนตลอดไป

เหนือสิ่งอื่นใดผู้ประกอบวิชาชีพครูหรือบุคลากรในแวดวงการศึกษาตลอดจนประชาชนทั่วไปจงตระหนักและให้ความสำคัญต่อการพัฒนาการศึกษาชาติซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาทุนมนุษย์แห่งอนาคต ด้วยความสำคัญดังกล่าวสอดคล้องกับพระบรมราโชวาทของพระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดินตอนหนึ่ง ความว่า “ท่านทั้งหลายคงจะตระหนักอยู่แล้วว่าการศึกษาเล่าเรียนเป็นเรื่องที่ไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ปรารถนาความเจริญในการประกอบกิจการงานจะต้องหมั่นเอาใจใส่แสวงหาความรู้ให้เพิ่มพูนอยู่เสมอ มิฉะนั้นจะกลายเป็นผู้ที่ล้าสมัยสมรรถภาพไป….” (พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 23 กุมภาพันธ์ 2503)

วันนี้ถึงแม้ว่า “พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน” จะเสด็จสู่สวรรคาลัยและจากพสกนิกรของพระองค์ท่านไปแล้วถึงสองปี แต่ด้วยพระราชกรณียกิจที่เปี่ยมล้นไปด้วยคุณค่านานัปการที่ทรงมีต่อประเทศชาติและประชาชน

ผู้เขียนจึงขอเชิญชวนปวงชนชาวไทยทั้งมวลได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้เพื่อร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานในการสร้างสรรค์และพัฒนาในมิติต่างๆ ดังที่พระองค์ท่านได้เคยทรงปฏิบัติให้เห็นตลอดมา

รัฐพงศ์ บุญญานุวัตร
ศูนย์นวัตกรรมการพัฒนาทุนมนุษย์
มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image