ที่มา | คอลัมน์ สยามประเทศไทย มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
คนเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า เป็นนาย มักปรารถนาความไม่เท่าเทียม แล้วต้องการดำรงรักษาความไม่เท่าเทียมนั้นอย่างเหนียวแน่น และอย่างมั่นคง
เพื่อตนเองมีอำนาจเหนือคนอื่น แล้วได้การยอมรับและยกย่องจากสังคม ให้คนอื่นสยบยอมเชื่อฟังตน
วัฒนธรรมอำนาจ ครอบงำสังคมไทยในนามระบบอุปถัมภ์ สร้างความสัมพันธ์แบบ ผู้ใหญ่-ผู้น้อย, หัวหน้า-ลูกน้อง, นาย-บ่าว ฯลฯ
คนเป็นผู้น้อย, ลูกน้อง, บ่าว มีหน้าที่รับคำสั่ง แล้วทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดโดยไม่ปริปาก
ใครถาม แปลว่า เถียง
ใครวิจารณ์ แปลว่า ด่า
แล้วถูกลงโทษหนักเบาตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจเหนือกว่า
อำนาจนิยมและความไม่เท่าเทียม หยั่งรากลึกมากและนานมากในระบบการศึกษาไทยทุกระดับ ตั้งแต่ประถม, มัธยม, อุดมศึกษา สำนึกอย่างนี้จึงมีมากในมหาวิทยาลัย
ครูบาอาจารย์สอนให้นักเรียนนักศึกษาอยู่ในโอวาท ท่องจำคำสอนและคำตอบสำเร็จรูป โดยกีดกันและปิดกั้นการซักถามและถกเถียง
ขณะเดียวกันก็ครอบงำย้ำว่าซักถามถกเถียงเป็นสิ่งชั่วร้าย เถียงครูไม่ได้ เถียงผู้ใหญ่ไม่ดี เด็กดีต้องไม่ถาม ไม่เถียง ไม่วิพากษ์วิจารณ์
นักการศึกษาสมัยใหม่ รวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองร่วมสมัย พยายามเรียกร้องปฏิรูปยกเลิกการเรียนการสอนแบบท่องจำตามครู แล้วกระตุ้นให้นักเรียนนักศึกษา
กล้าคิด กล้าแสดงความเห็น กล้าถาม กล้าเถียง กล้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างสากลโลก
แต่แล้วล้มเหลวถึงขั้นเจ๊งล้มละลาย เพราะกฎหมายลงประชามติ ย้อนยุคย้อนเวลา
แล้วย้อนการศึกษาไทยให้กลับสู่วัฒนธรรมอำนาจสมบูรณ์ เหมือนกรุงสุโขทัย ราชธานีแห่งแรกของไทย