เวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์ประท้วงเกิดขึ้นเกือบทุกภูมิภาคในโลก
อิรักมีการประท้วงทั่วประเทศ 1 สัปดาห์ มีผู้เสียชีวิต 110 คน บาดเจ็บกว่า 6 พันคน
อียิปต์มีการประท้วงทุกวันศุกร์เป็นเวลา 3 สัปดาห์ มีผู้ถูกจับกุมกว่า 3 พันคน
อินโดนีเซียมีการประท้วงของนักศึกษาและเกิดความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ เป็นเหตุให้มีผู้ตายกว่า 30 คน บาดเจ็บกว่า 300 คน มีผู้ถูกจับกุมกว่า 100 คน
เอกวาดอร์ อเมริกาใต้ ประท้วงดุเดือด หน่วยงานรัฐบาลต้องย้ายที่ทำการออกจากเมืองหลวง รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินและห้ามออกนอกบ้านในเวลากลางคืนเป็นเวลา 60 วัน
ฉากการต่อสู้บนถนนที่ “ฮ่องกง” ถูกนำไปฉายซ้ำที่เอเชีย แอฟริกาและลาตินอเมริกา
ดูประหนึ่งว่า บัดนี้ควันไฟรอบด้าน
การประท้วงดังกล่าว ย่อมมีเบื้องหลังที่แตกต่างกัน อาทิ
นักศึกษามหาวิทยาลัยอินโดนีเซียประท้วงรัฐบาลอันเกี่ยวกับกฎหมายที่พวกเขาถือว่าคือ “bad law” ซึ่งได้แก่ รักร่วมเพศ พฤติกรรมทางเพศนอกสมรส และหมิ่นหยามประธานาธิบดี
เหตุการณ์ที่อิรักคือโจมตีการปลด “อัศวินแห่งชาติ” ที่เป็นผู้นำต่อต้านผู้ก่อการร้าย
อียิปต์คือผู้รับเหมาชายนายหนึ่งได้ส่งคลิบผ่านโซเชียลมีเดีย โดยกล่าวหาว่า ประธานาธิบดีและคู่สมรสใช้เงินของรัฐอย่างฟุ่มเฟือยและพร่ำเพรื่อ ซึ่งหมายความรวมถึงที่ทำเนียบประธานาธิบดี รีสอร์ต และโรงแรม อันเป็นปฐมเหตุแห่งการประท้วง เหตุการณ์ร้อนแรง
ส่วนความปั่นป่วนที่เอกวาดอร์ ดูผิวเผินก็คือ เกิดจากรัฐบาลยกเลิกเงินชดเชยราคาน้ำมัน แต่ความจริงปรากฏว่า ประธานาธิบดีเลนิน โมเรโน กับอดีตประธานาธิบดี ซึ่งเป็นกัลยาณมิตร เกิดการแตกคอและแยกกันเดิน จึงนำมาซึ่งการแบ่งขั้ว “ซ้าย” และ “ขวา” ทั้งนี้เกิดขึ้นเพราะประธานาธิบดีเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำอันเกี่ยวกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจของ IMF
บรรดาประเทศที่เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย ดูผิวเผินคือ ปัญหาการเมือง
แต่เมื่อเจาะลึกลงไป ล้วนมาจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและปัจจัยภายนอก
หลังจากระบบการปกครอง “ซัดดัม ฮุสเซน” ถูกโค่นล้ม แต่ก็ยังไม่ปรากฎภาวะเศรษฐกิจของอิรักมีความเจริญก้าวหน้าให้เห็นเป็นประจักษ์ อัตราคนตกงานสูงถึง
ร้อยละ 25
หลังสงคราม แม้สถานการณ์อิรักปราศจากความมั่นคง แต่ชุมชนชีอะห์ (Shia) ทางตอนใต้ของประเทศกลับมีความสถิตเสถียร แต่คราวนี้เกิด “เผากันเอง”
และกลายเป็นจุดกำเนิดแห่งความปั่นป่วน ทำลายเสถียรภาพความมั่นคง
เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกของฝ่ายชีอะห์
กาลอดีตอิรักถือว่าเป็นตัวอย่างแห่งประชาธิปไตยในตะวันออกกลาง
โดยมีสหรัฐเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง
แต่บัดนี้คนอิรักได้เลือกรัฐบาลที่โปรอิหร่านอย่างต่อเนื่อง
อันเป็นเหตุให้สหรัฐเกิดความระคายเคือง
การประท้วงรัฐบาลอิรักครั้งนี้ จะมองเป็นใครอื่นมิได้ นอกจากพวกโปรอิหร่าน
และกล่าวหาว่าเบื้องหลังต้องมีเงาของสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม การเข้าประจำการของทหารสหรัฐ นอกจากไม่สามารถนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจแก่อิรัก กลับเป็นการทำลายเสถียรภาพความมั่นคงตอนใต้
ที่เรียกกันว่า “ตัวอย่างประชาธิปไตย” นั้น
บัดนี้ พังทลายลงแล้ว
ตั้งแต่ 2011 อียิปต์ได้ล้มล้างระบอบ Husni Mubarak เสถียรถาพยังไม่มีความมั่นคง หลังจากรัฐบาลทหารขึ้นปกครองบ้านเมือง แม้ฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ระดับ 1 แต่ความยากจนของประชาชนก็ยังดำรงอยู่ มีเพิ่มไม่มีลด
อินโดนีเซีย แม้สภาพเศรษฐกิจถือว่าพอไปได้ แต่ยังขาดความสมดุล ความเลื่อมล้ำในประเด็นความรวยความจนก็ยังดำรงอยู่
เหตุการณ์ประท้วงที่เกิดขึ้นล้วนหลีกเลี่ยงไม่พ้นปัญหาเศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์สอนเราว่า ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะอยู่ในระดับใด หากไม่สอดคล้องกับความยุติธรรมที่พึงมีของสังคม
ก็ยากที่จะดำรงต่อไปได้
เหตุการณ์ประท้วงที่เกิดขึ้นที่อียิปต์ อิรัก อินโดนีเซีย และเอกวาดอร์
เป็นอุทาหรณ์สอนใจนักการเมืองสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนา
ควรต้องสร้างความยุติธรรม ความเสมอภาคให้เกิดขึ้นแก่ประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาปากท้องต้องมาเป็นอันดับ 1 ต้องไม่ลืมว่าหากท้องยังหิว
ความรักชาติเกิดขึ้นมิได้แน่นอน
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช