นายประโยชน์ เพ็ญสุต รองอธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) เปิดเผยว่า จากการประกาศตั้งโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) โดยใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดทำการผลิตหน้ากากอนามัยได้ภายในวันที่ 16 เมษายนนี้ เบื้องต้นยังไม่มีการแจ้งเรื่องเกี่ยวกับรายละเอียดในส่วนของกำลังการผลิตและผลิตภัณฑ์เข้ามา อาจติดที่โรงงานยังตั้งไม่เสร็จสมบูรณ์ ทำให้การแจ้งเรื่องยังเข้ามาไม่ถึง โดยตอนนี้น่าจะอยู่ในขั้นตอนของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ต้องตรงจสอบทั้งในส่วนของโรงงานและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเบื้องต้นได้ประสานกับอย. ในการตรวจสอบในส่วนของโรงงานเบื้องต้นแล้ว แต่ยังต้องตรวจสอบตัวผลิตภัณฑ์ด้วย
นายประโยชน์กล่าวว่า ขณะนี้โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศ ประเภทที่ได้รับการอนุญาตจากอย. มีทั้งหมด 9 โรง ซึ่งเป็นโรงงานที่ผลิตหน้ากากอนามัยแบบใช้ในทางการแพทย์ หรือใช้ทั่วไป (ลักษณะที่นิยมเป็นสีเขียว 1 ด้าน และสีขาว 1 ด้าน) รวมถึงมีอีก 2 โรงที่ไม่ได้ผลิตหน้ากากอนามัยแบบใช้ในทางการแพทย์ และใช้ปกติทั่วไป เนื่องจากเป็นโรงงานที่ผลิตหน้ากากแบบ 3 มิติ ที่มีราคาสูงมากกว่า เฉลี่ยอยู่ที่ชิ้นละ 20 บาทขึ้นไป ทำให้โรงพยาบาลไม่นิยมใช้งาน แม้จะป้องกันฝุ่นพีเอ็ม 2.5 หรือเชื้อไวรัสได้ก็ตาม โดยหน้ากากอนามันในปัจจุบันมี 3 ชนิด ได้แก่ 1.หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ซึ่งจะต้องขออนุญาตอย. ในการผลิต 2.หน้ากากที่ใช้ในโรงงงาน และ 3.หน้ากากอื่นๆ อาทิ หน้ากากผ้า ซึ่งหน้ากากในกลุ่มที่ 2 และ 3 เป็นกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในการดูแล และไม่ต้องขออนุญาตการผลิตจากอย.
“ยกตัวอย่างสยามโคเค็น ก็เป็นโรงงานที่ผลิตหน้ากากอนามัย แต่ผลิตแบบ n95 เพื่อการส่งออก ซึ่งแต่ถามว่าเป็นหน้ากากอนามัยหรือไม่ ก็เป็นหน้ากากอนามัย ถามต่อว่าเป็นหน้ากากที่ใช้ทางการแพทย์หรือไม่ ก็ใช่ ทำให้การจะถามว่าโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยของซีพี จะเป็นโรงงานที่ 12 หรือไม่ ก็พูดยาก รวมถึงหากยกตัวอย่างโรงงานผลิตที่ 10-11 ก็เป็นโรงงานที่ผลิตหน้ากากอนามัยเหมือนกัน แต่ไม่ได้ใช้ทั่วไป เพราะผลิตแบบ 3 มิติ ทำให้การบอกว่าจะเป็นโรงงานผลิตที่เท่าไหร่ พูดยากมาก อย่างไรก็ตาม โรงงานที่ผลิตหน้ากากอนามัยแบบนิยมใช้ทางการแพทย์และทั่วไป ในประเทศตอนนี้มีทั้งหมด 9 โรงงาน ” นายประโยชน์กล่าว
