‘ดีอี’ โชว์ 9 ผลงานสกัดภัยออนไลน์-หนุนศก.ดิจิทัล

‘ดีอี’โชว์9ผลงานสกัดภัยออนไลน์-หนุนศก.ดิจิทัล

หมายเหตุ – นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) โชว์ผลงาน 3 เดือนภายหลังเข้ารับตำแหน่ง ประกอบด้วย 9 มาตรการหลักในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ป้องกันและปราบปรามภัยไซเบอร์

หลังจากที่ได้เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี โดย 3 เดือนที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีกับหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ ทั้งในกระทรวงดีอี หน่วยงานภาครัฐ และ
ภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ จนถึงวันนี้ ดีอีสามารถประสบผลสำเร็จในการดำเนินงานอย่างเข้มข้นสามารถแบ่งเป็น 9 ผลงานหลัก ดังนี้

1.ศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441

Advertisement

ดีอีได้จัดตั้งศูนย์ AOC 1441 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน มีเป้าหมาย 1.ระงับและอายัดบัญชีของคนร้าย ให้ผู้เสียหายและผู้ถูกหลอกลวงออนไลน์ทันที 2.ติดตามสถานะ การแก้ไขปัญหาให้ผู้เสียหายทุกขั้นตอนได้ทันที 3.เร่งการคืนเงินให้ผู้เสียหาย และ 4.เพิ่มประสิทธิภาพการจับกุม ดำเนินคดีและการขยายผลคดี โดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยงานบูรณาการข้อมูล และร่วมทำงานทันทีทุกหน่วยงานเกี่ยวข้อง เมื่อได้รับแจ้งจากผู้เสียหายผลการดำเนินงานสำคัญระหว่างวันที่ 1-30 พฤศจิกายน 2566 มีประชาชนติดต่อ 79,997 สาย ระงับบัญชีธนาคาร 7,996 บัญชี เฉลี่ย 15 นาที จับกุมแล้ว 389 ราย

2.การปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมายและเว็บไซต์พนัน

ดีอีได้ปรับเปลี่ยนวิธีทำงาน จัดการเว็บไซต์ผิดกฎหมาย เน้นทำงานเชิงรุก ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย ทำงานร่วมกับโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มใกล้ชิด ทำให้ปิดกั้นเว็บหรือเพจผิดกฎหมายเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญดังนี้ ระยะเวลา 1 ตุลาคม-10 ธันวาคม ปิดกั้นเว็บไซต์หรือเพจผิดกฎหมายโดยรวมทุกประเภท สูงถึง 25,061 เว็บไซต์/เพจ เพิ่มขึ้น 10 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ปิดได้ 2,567 เว็บไซต์/เพจ และปิดกั้นเว็บพนันออนไลน์ ถึง 4,592 เว็บไซต์ เพิ่มขึ้น 17.5 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ปิดได้ 248 เว็บไซต์

Advertisement

3.การแก้ปัญหาการซื้อขายข้อมูลและการหลุดรั่วของข้อมูลประชาชน

แบ่งเป็นระยะเร่งด่วน 30 วัน ระยะ 6 เดือน และระยะ 12 เดือน โดยระยะเร่งด่วนใน 30 วัน ประกอบด้วย 1.ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC Eagle Eye) เร่งตรวจสอบข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ พร้อมทั้งค้นหา เฝ้าระวัง การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งช่วง 9 พฤศจิกายน-9 ธันวาคม มีผลดำเนินการดังนี้ ตรวจสอบแล้ว จำนวน 15,320หน่วยงาน (รัฐ/เอกชน) ตรวจพบข้อมูลรั่วไหล/แจ้งเตือนหน่วยงานแล้ว จำนวน 4,593 เรื่อง หน่วยงานแก้ไขแล้วจำนวน 4,593 เรื่อง นอกจากนี้ ดำเนินการเรื่อง ซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล 3 เรื่อง ซึ่งอยู่ระหว่างสืบสวนดำเนินคดีร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) 2.ให้สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ตรวจสอบช่องโหว่ ระบบไซเบอร์ซีเคียวริตี้ หรือระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยข้อมูล โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐที่เป็นหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (CII) อาทิ ด้านพลังงานและสาธารณสุข ด้านบริการภาครัฐ และการเงินการธนาคาร เป็นต้น โดยการตรวจสอบช่องโหว่ ของระบบไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ระหว่าง 9 พฤศจิกายน-9 ธันวาคม 2566 มีผลดังนี้ ตรวจสอบระบบไซเบอร์ซีเคียวริตี้แล้ว จำนวน 91 หน่วยงาน และตรวจพบมีความเสี่ยงระดับสูง 21 หน่วยงาน และ สกมช.ได้แจ้งให้แก้ไขแล้ว

นอกจากนี้ ดำเนินการเรื่อง การซื้อขายข้อมูลคนไทยใน darkweb (เว็บผิดกฎหมาย ที่คนร้ายหรือโจรออนไลน์นิยมใช้) จำนวน 3 เรื่อง ซึ่งอยู่ระหว่างสืบสวนดำเนินคดีร่วมกับ บช.สอท. 3.ให้ สคส.และ สกมช.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมโรงแรมไทย รวมถึงเครือข่ายภาคสื่อมวลชน สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ปฏิบัติตามระเบียบขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยของหน่วยงาน ความรู้เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ 4.เร่งรัดปิดกั้นการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลที่ผิดกฎหมาย และดำเนินคดีจับกุมผู้กระทำความผิด

สำหรับการทำงานระยะ 6 เดือน คือ ส่งเสริมการใช้งานระบบคลาวด์กลางภาครัฐที่มีความน่าเชื่อถือ ความมั่นคงปลอดภัยตามหลักวิชาการสากล รองรับการใช้งานของบุคลากรของหน่วยงานต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย เพื่อป้องกันและลดปัญหาการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล จากสาเหตุที่หน่วยงานภาครัฐส่งข้อมูลให้หน่วยงานภายนอก หรือขาดบุคลากรในการกำกับดูแลงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

สำหรับการทำงานระยะ 12 เดือน คือ ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้ทันสมัยต่อบริบทของสังคมและพฤติการณ์ที่เปลี่ยนไป และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบและป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่ดียิ่งขึ้น

4.การแก้ปัญหาซิมม้าได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมการป้องกันและปราบปรามการใช้ซิมม้า โดยใช้มาตรการเชิงรุกจำนวน 6 มาตรการ ดังนี้

1.กำหนดให้ผู้ใช้บริการถือครองซิมเกิน 5 ซิม ต่อผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ จะต้องมีการมายืนยันตัวตนภายใน 30 วัน ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการของคณะกรรมการ กสทช. และให้มีผลให้ต้องลงทะเบียน ไม่เกิน 30 วัน นับแต่การออกประกาศ 2.กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ให้ดำเนินการตรวจสอบการใช้งานโทรศัพท์ที่ผิดปกติ ที่มีการโทรออกตั้งแต่ 100 สายต่อวัน หรือในเวลาสั้นๆ ส่งข้อมูล AOC 1441 ทำการระงับการใช้งาน 3.เร่งระงับเบอร์ และขยายผล สืบสวนสอบสวน ดำเนินคดีจากเบอร์และชื่อเจ้าของเบอร์ ที่มีการแจ้งความออนไลน์ ผ่าน Thaipoliceonline.com เบอร์ที่รับแจ้งกับ AOC 1441 เบอร์ที่ผู้ให้บริการสื่อสาร ตรวจพบเอง จากระบบ fraud detection และจากสำนักงาน กสทช. และเบอร์ที่ต้องสงสัย อาทิ เบอร์ที่ใช้กับอุปกรณ์ ซิมบ็อกซ์ (SIM BOX) หรืออุปกรณ์อื่นที่ใช้กระทำผิด เป็นต้น 4.ให้แจ้งข้อมูลการโทรที่ผิดปกติ ต่อศูนย์ AOC 1441 และระบบ Audit numbering ของสำนักงาน กสทช. เพื่อให้เป็นศูนย์กลางรวมรวมข้อมูล ประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องทุกหน่วย ร่วมเร่งตรวจสอบขยายผล แบบบูรณาการ วิเคราะห์อาชญากรรม สืบสวน สอบสวนนำตัวผู้กระทำความผิด และเครือข่ายมาลงโทษโดยเร็ว 5.ดำเนินการตรวจสอบ หมายเลขโทรศัพท์/เสาสัญญาณ และการตั้งสถานีแพร่กระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาต หากพบให้ดำเนินการระงับสัญญาณทันที 6.ดำเนินการกำกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีการให้บริการนอกราชอาณาจักรไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งหากตรวจสอบพบก็จะให้มีการแก้ไขปรับเปลี่ยนทิศทางการแพร่สัญญาณ

5.การดึงการลงทุนและพัฒนากำลังคนด้านเอไอและคลาวด์

ดีอีได้ดึงการลงทุนและพัฒนากำลังคนดิจิทัล โดยเฉพาะด้านเอไอและคลาวด์ โดยความร่วมมือกับบริษัทระดับโลก และประเมินว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 300,000 ล้านบาท ทั้งจากการลงทุนและพัฒนาบุคลากรในระยะ 5 ปี จากความร่วมมือ 3 บริษัท 1.หัวเหว่ย ได้ร่วมมือการตั้งศูนย์เพื่อพัฒนาบุคลากรไทยด้านเอไอและคลาวด์ ผลิตคนด้านเอไอและคลาวด์ปีละ 10,000 คนหรือ 50,000 คน ในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะสร้างรายได้ให้ผู้ที่มีทักษะ เอไอและคลาวด์ จำนวนกว่า 60,000 ล้านบาท แก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรด้านเอไอและคลาวด์ 2.กูเกิล มีความร่วมมือกับดีอีจะสร้างผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ภาคธุรกิจไทยกว่า 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกูเกิลและดีอีจะร่วมกันศึกษาแนวทางการใช้ Generative AI และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีกูเกิลคลาวด์

3.ไมโครซอฟท์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมพบปะหารือกับไมโครซอฟท์เพื่อร่วมพูดคุยถึงจุดประสงค์ของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สอดคล้องกับนโยบายด้านรัฐบาลดิจิทัล และการใช้บริการระบบคลาวด์ภาครัฐ หรือ Cloud First เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถนำเอไอมาใช้งานได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ รวมถึงยกระดับทักษะแห่งอนาคตสำหรับคนไทยกว่า 10 ล้านคน ผ่านทางความร่วมมือกับดีอี

6.ชุมชนโดรนใจ หรือ One Tambon One Digital (OTOD) เริ่มพฤศจิกายน 2566 มีเป้าหมายดำเนินการครบ 500 ชุมชน ในตุลาคม 2567 ประยุกต์ใช้โดรนเพื่อการเกษตร ให้บริการกว่า 4 ล้านไร่ทั่วประเทศ เกิดการยกระดับทักษะเกษตรกรกว่า 1,000 คน เกิดธุรกิจบริการโดรน 50 ชุมชน เกิดอาชีพใหม่ช่างโดรนชุมชน และเกิดศูนย์สอบอนุญาตการบินโดรน 5 ภูมิภาค และเกิดมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจกว่า 20,000 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานขณะนี้อยู่ระหว่างการรับสมัคร ซึ่งมีชุมชนให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมแล้ว 300 ชุมชน และ 63 ศูนย์ซ่อม ระหว่างจัดตั้งศูนย์สอบขอใบอนุญาตการบินโดรน 5 ศูนย์ทั่วประเทศ และทำให้เกิดมาตรฐาน dSURE สำหรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล

7.มุ่งสู่ Global Digital Talent สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ได้ผลักดันให้มีกลไกในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนกำลังคนดิจิทัลให้กับภาคอุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมอื่นๆ ของประเทศผ่านการนำเข้ากำลังคนจากต่างประเทศผ่านการตรวจลงตรารูปแบบใหม่ Global Digital Talent Visa (GDT Visa) ซึ่งมีเป้าหมายในการดึงดูดกำลังคน 2 ประเภท ได้แก่ 1.กำลังคนดิจิทัลสาขาขาดแคลนโดยเป็นผู้ที่จบการศึกษา รวมถึงผู้ที่กำลังศึกษาด้านดิจิทัลจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ 600 แห่งทั่วโลกที่ได้รับการรับรอง 2.ผู้ที่ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีเป็นหลักในอุตสาห กรรมดิจิทัล และสามารถทำงานได้ทุกที่ที่มีอินเตอร์เน็ตและอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์

ชาวต่างชาติที่ได้รับ GDT Visa จะได้สิทธิในการพำนัก และสิทธิทำงานพร้อมวีซ่าเป็นระยะเวลา 1 ปี สามารถให้คู่สมรสและบุตรได้รับวีซ่าผู้ติดตามไปพร้อมกันได้ สามารถเดินทางเข้าและออกประเทศไทยได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง (Re-Entry permit) ได้รับสิทธิให้ใช้ช่องทางพิเศษในการเข้าออกราชอาณาจักร ณ ท่าอากาศยานระหว่างประเทศที่มีให้บริการช่องทางพิเศษ

ดีป้าได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยกร่างประกาศและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำเอกสารแนวทางการดึงดูดกำลังคนดิจิทัลสาขาขาดแคลนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอเรื่องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้นำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณา ตามมาตรา 4 (12) พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2548

8.การสนับสนุน Start Ups และ SMEs

ดำเนินการด้วยบัญชีบริการดิจิทัลและมาตรการทางภาษี ดีอีโดยดีป้า ได้ดำเนินการจัดทำโครงการดังนี้ 1.บัญชีบริการดิจิทัล เป็นกลไกการยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งบัญชีบริการดิจิทัลเป็นการรวบรวมสินค้าและบริการดิจิทัลจากผู้ประกอบการและผู้ให้บริการดิจิทัลไทยที่มีคุณสมบัติครบถ้วน และเป็นไปตามข้อกำหนดด้านมาตรฐานและราคา ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นตัวช่วยในการคัดกรองสินค้าและบริการดิจิทัลที่มีคุณภาพในราคาที่สมเหตุสมผล อำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่มองหาสินค้าหรือบริการดิจิทัล ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาการให้บริการประชาชน 2.ผลักดันมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัล หรือ Tax 200%

9.การยกระดับ Thailand Digital Competitiveness Ranking

ดีอีจะขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ส่งผลให้การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของไทยในปี 2566 หรือ Thailand Digital Competitiveness Ranking 2566 ดีขึ้น 5 อันดับ โดยไทยอยู่อันดับที่ 35 ในปี 2566 จากเดิมอันดับที่ 40 ในปี 2565 ซึ่งการจัดอันดับด้านดิจิทัลนี้ จัดทำโดย World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ เป็นผลการจัดอันดับประจำปี 2023 หรือ พ.ศ.2566 ตามรายงาน IMD World Digital Competitiveness Ranking 2566

ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายว่าอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของไทย จะต้องอยู่ใน 30 อันดับแรกของโลกภายในปี 2569 นี้ นอกจากนี้ ดีอีจะผลักดันทุกโครงการให้มีผลสำเร็จ เพื่อสร้างประโยชน์แก่ประชาชนในวงกว้างต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image