ทำความรู้จัก ‘มุน แจ อิน’ ผู้นำใหม่โสมขาว

AFP PHOTO / JUNG Yeon-Je

ขณะที่สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีดูจะทวีความรุนแรงมากขึ้น กับบทบาทผู้นำที่แข็งกร้าวของนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ผู้ประกาศเดินหน้าคว่ำบาตรเกาหลีเหนืออย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการลงโทษต่อการทดลองยิงจรวดและทดลองนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ จนทำให้สถานการณ์คุกรุ่นบนคาบสมุทรเกาหลีย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ

แต่ก็เหมือนจะมีแสงรำไรของสันติภาพที่น่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น เมื่อ นายมุน แจ อิน ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้

นายมุน แจ อิน เกิดที่เมืองกอเจ เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ.2496 มาจากครอบครัวของผู้ที่อพยพมาจากเกาหลีเหนือ ก่อนที่ครอบครัวจะไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองปูซานในเวลาต่อมา

สมัยที่นายมุนเป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยคยองฮี เอกวิชากฎหมาย ก็ถูกจับขังคุกในช่วงทศวรรษ 1970 ในฐานะแกนนำการชุมนุมประท้วงต่อต้านการปกครองของรัฐบาลทหาร “ปาร์ค จุง ฮี” บิดาของ น.ส.ปาร์ค กึน เฮ และถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยในที่สุด

Advertisement

หลังจากนั้นนายมุนได้เข้ารับการเกณฑ์ทหารและเข้าประจำอยู่ในกองกำลังพิเศษ หลังปลดประจำการแล้ว นายมุนได้สอบเนติบัณฑิตเพื่อขอใบอนุญาตเป็นทนายว่าความ และเข้าศึกษาที่สถาบันวิจัยและฝึกฝนฝ่ายตุลาการ จนเรียนจบ แต่ไม่สามารถเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการได้ เนื่องจากเคยมีประวัติเรื่องการเคลื่อนไหวทางการเมืองสมัยเป็นนักศึกษา นายมุนจึงได้เลือกที่จะเป็น “ทนายความ” แทน

นายมุนเป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ผู้มีแนวคิดเสรีนิยมและสนับสนุนให้มีการทำข้อตกลงและเปิดการเจรจากับรัฐบาลเปียงยาง ในเรื่องโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ หลังจากสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีมีแต่ถดถอยลงเรื่อยๆ

ทั้งนี้ หลังจากสิ้นสุดสงครามเกาหลีที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2493-2496 เกาหลีถูกแยกออกเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ โดยมีเขตปลอดทหาร หรือดีเอ็มแซด เป็นเส้นแบ่งระหว่างสองเกาหลีเอาไว้

Advertisement

ในขณะที่เกาหลีใต้พัฒนาประเทศทั้งด้านการเมือง การปกครองและเทคโนโลยี แต่เกาหลีเหนือกลับยังคงเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่ถูกโดดเดี่ยวจากโลกภายนอก ด้วยการปกครองของตระกูล “คิม” นับตั้งแต่ คิม อิล ซุง ผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ ต่อไปยังรุ่น คิม จอง อิล จนถึงรุ่นปัจจุบัน คิม จอง อึน คิมรุ่นที่ 3

ท่ามกลางข้อกล่าวหาจากทั่วโลกเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการมีโครงการนิวเคลียร์ที่เกรงว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อประชาคมโลก โดยเกาหลีเหนือมีการทดลองนิวเคลียร์แล้ว 5 ครั้ง ในจำนวนนี้ 2 ครั้งเกิดขึ้นเมื่อปี 2559 และยังมีการทดลองยิงจรวดอีกหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือกับประชาคมโลก รวมไปถึงเกาหลีใต้ ไม่ราบรื่นนัก

กระทั่งในช่วงที่ นายคิม แด จุง เป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ก็เกิดนโยบายปรองดองที่เรียกว่า “ซันไชน์ โพลิซี” หรือนโยบายอาทิตย์สาดแสง เพื่อการสมานฉันท์ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ จนเกิดเป็นภาพประวัติศาสตร์การประชุมสุดยอดสองผู้นำเกาหลี ปี 2543 เกิดเป็นภาพของ คิม แด จุง จับมือกับนายคิม จอง อิล ผู้นำเกาหลีเหนือในสมัยนั้น และเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดเขตอุตสาหกรรมแกซองในเกาหลีเหนือ ที่บริษัทของเกาหลีใต้เข้าไปตั้งโรงงานในเกาหลีเหนือ และให้ชาวเกาหลีเหนือมีงานทำในโรงงานเหล่านี้

ต่อมา นายโนห์ มู ฮยอน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ก็สานต่อนโยบายอาทิตย์สาดแสงอย่างต่อเนื่อง โดยมีนายมุน แจ อิน ซึ่งขณะนั้นเป็นทนายความ มาเป็นผู้ช่วยคนสำคัญตลอด โดยดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบ ในฐานะที่ปรึกษาระดับสูงของนายโนห์ และเป็นแรงผลักดันสำคัญในการเดินหน้านโยบายปรองดองสองประเทศอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นที่มาของการประชุมสุดยอดสองผู้นำเกาหลีเป็นครั้งที่สอง เกิดเป็นภาพการจับมือกันอีกครั้งระหว่างผู้นำสองเกาหลี คือนายโนห์ มู ฮยอน กับนายคิม จอง อิล ที่กรุงเปียงยาง เกาหลีเหนือ เมื่อเดือนตุลาคม 2550

เรียกได้ว่าเป็นครั้งสุดท้ายของการประชุม สุดยอดสองผู้นำเกาหลี เพราะนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยมีการพบปะกันของสองผู้นำเกาหลีอีกเลย

ว่ากันว่านายมุนซึ่งเป็นทนายความ ทำงานกับนายโนห์ตั้งแต่สมัยที่นายโนห์ยังไม่ได้เป็นประธานาธิบดี และทำงานร่วมกันมาตลอดในเรื่องสิทธิมนุษยชนและประเด็นเรื่องสิทธิพลเรือน นายมุนเป็นเพื่อนกับนายโนห์จนถึงวาระสุดท้ายที่นายโนห์ฆ่าตัวตายในปี 2552 หลังโดนกล่าวหาว่าพัวพันคอร์รัปชั่น

นายมุนมุ่งมั่นต่อในอาชีพนักการเมือง กระทั่งได้เป็นตัวแทนพรรคสหประชาธิปไตย (หรือพรรคประชาธิปไตยในเวลาต่อมา) ในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เมื่อปี 2555 แต่พ่ายแพ้ น.ส.ปาร์ค กึน เฮ จากพรรคแซนูรี

แต่ที่สุดแล้ว คนจะได้เป็นผู้นำยังไงก็ได้เป็นผู้นำ เมื่อ น.ส.ปาร์ค กึน เฮ ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง เพราะเกี่ยวโยงกับปัญหาเรื่องการคอร์รัปชั่น ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่

และนายมุนก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้ คนที่ 12 ของประเทศ

โดยในการสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี นายมุน แจ อิน ประกาศไว้ว่า เต็มใจที่จะพูดคุยกับทุกคนที่แสวงหาสันติภาพ รวมทั้ง “เกาหลีเหนือ”

หลังจากที่ประธานาธิบดี 2 รุ่นก่อน ต่างมีนโยบายที่แข็งกร้าวต่อรัฐบาลเปียงยางทั้งสิ้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ

“หากจำเป็นจริงๆ ผมจะบินไปวอชิงตันทันที” นายมุนกล่าว และว่า “ผมจะบินไปปักกิ่ง และโตเกียว หรือแม้แต่เปียงยาง ในโอกาสที่เหมาะสม”

นอกจากนี้ นายมุนยังสนับสนุนให้มีการฟื้นโครงการ “เชื่อมต่อเกาหลี” ที่ถูกปิดไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขึ้นมาอีกครั้ง รวมทั้งเขตอุตสาหกรรมแกซอง

อย่างไรก็ตาม นายโรเบิร์ต เคลลี จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติปูซาน เกาหลีใต้ บอกกับเอเอฟพีว่า นโยบายมุ่งสู่เหนือของนายมุนอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมาย ไม่เหมือนกับเมื่อ 20 ปี ที่นโยบายซันไชน์เริ่มต้น แต่ตอนนี้เกาหลีเหนือมีอาวุธนิวเคลียร์แล้ว และยังมีการพัฒนาโครงการขีปนาวุธต่างๆ มากมาย แถมยังมีชื่อเสียงในเรื่องการผลิตยาและสินค้าปลอมอีก

“ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรจะมีการเจรจากับเกาหลีเหนือ แต่หากนายมุนต้องการที่จะผลักดันให้มีการเปิดเขตอุตสาหกรรมแกซองขึ้นอีกครั้ง หรือทำให้เกิดซันไชน์ โพลิซี 2 หมายความว่าเขาจะต้องชนกับรัฐบาลอเมริกัน ที่เห็นว่าเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริงของโลก”

เช่นนั้นแล้ว ความฝันในการสานสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ ภายในระยะเวลา 5 ปีของการปฏิบัติหน้าที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ของนายมุน อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายอย่างที่คิด

ขณะที่ภาพลักษณ์ของ “ประธานาธิบดีเกาหลีใต้” ที่ผ่านมา อาจจะกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นกรณีของนายโนห์ที่ถูกกล่าวหาจนต้องฆ่าตัวตาย หรือ น.ส.ปาร์คที่กำลังรอการพิจารณาคดีจากศาล

นายมุนจึงได้ให้คำมั่นไว้ว่าจะขอเป็นนักการเมืองที่มือสะอาด

“ผมเข้ารับตำแหน่งด้วยมือเปล่า และจะขอจากไปด้วยมือเปล่าเช่นกัน”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image