ที่มา | หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน |
---|---|
เผยแพร่ |
ห้วงนี้ช่วงเวลาสำคัญของการจั
นอกจากโครงสร้างองค์กร ที่กำลังทบทวนว่าจะสังกัดหรื
หลากทรรศนะข้อเสoอ สับ ปรับ “งานสอบสวน” บ้างให้แยกอำนาจสอบสวนไปจากสำนั
“นักกฎหมายสีกากี” รุ่นใหม่ แสดงความคิดเห็นต่อกรณี ปฏิรูปงานสอบสวน เป้าประสงค์อยากให้เกิดความเข้
มือกฎหมายตำรวจ ระบุว่า ที่ว่านานาอารยะประเทศ มักจะให้อัยการเข้ามาควบคุ
“การแยกอำนาจสอบสวนจากสำนั
กงานตำรวจแห่งชาติโดยยกเรื่อง สวัสดิการ ความเจริญก้าวหน้า และค่าตอบแทนต่ำ หรืองบประมาณไม่เพียงพอ จึงต้องแยกอำนาจสอบสวน หรือ ให้อัยการเข้ามาควบคุมการสอบสวน ลำพังเหตุผลที่สนับสนุนแค่นี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้ องกัน เพราะต้นทาง กับปลายทางที่เสนอ ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้ อย งบประมาณไม่พอ จึงให้อัยการเข้ามาควบคุ มตรวจสอบเช่นนั้นหรือเห็นได้ชัดเจนว่า ต้องแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการอื่น ๆ ไม่ใช่แยกงานสอบสวน หรือให้อัยการมาคุมงานสอบสวน”
“ถามว่าการแยกอำนาจสอบสวนจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติประชาชน ได้ประโยชน์จริงหรือ ทุกวันนี้ ตำรวจที่ทำหน้าที่สอบสวนคดีอาญา มีจำนวนกว่า 10,000 คน ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอ แต่ตำรวจได้บูรณาการกำลังเจ้ าหน้าที่ตำรวจสายอื่น ๆ ไปช่วยงานในหน้าที่สอบสวนได้ และระดมกำลังเจ้าหน้าที่ ตำรวจสายสืบสวน และสายป้องกันปราบปราม ไปช่วยสืบสวนจับกุมผู้ร้ายให้ พนักงานสอบสวนได้ เพราะลำพังพนักงานสอบสวน ที่มีหน้าที่ทางธุรการทางคดี การผัดฟ้อง ฝากขัง หรือการขออนุมัติออกหมายจับต่ อศาล ก็แทบจะไม่ได้พักผ่อนแล้ว ถ้าแยกงานสอบสวนจากสำนั กงานตำรวจแห่งชาติจะต้องสร้ างองค์กรขึ้นใหม่ และอาจจะต้องมีกำลังพลหลายหมื่ นนายเพื่อรองรับหน้าที่สอบสวน ที่ปัจจุบัน ตร. บูรณาการความร่วมมือของหน่ วยงานภายใน ตร. เอง ซึ่งสามารถประหยัดทรั พยากรของชาติและภาษีประชาชนได้ มหาศาล” นักกฎหมาย ตร.แจกแจง
กับประเด็นที่ว่า การแยกงานสอบสวนจาก ตร.มีประสิทธิภาพจริงหรือ “มือกฎหมายสีกากี” อธิบายว่า ให้ลองสังเกตุ หน่วยงานที่
“หน่วยงานอื่น ๆ ที่มีคดีค้างเกือบสิบปี ในขณะรับสำนวนน้อยมาก หรือ บางหน่วยงาน มีคดีค้างนับพันนับหมื่นคดี และมีคดีที่ขาดอายุความหรือใกล้
พร้อมชี้ว่า ข้อเสนอที่ให้อัยการเข้าควบคุ
“ในอดีตนั้น ในภูมิภาค หรือ จังหวัดอื่น ๆ เมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้อง ผู้ว่าราชการจังหวัด ทำหน้าที่พิจารณาคำสั่งดังกล่าว และมีความเห็นแย้งเสนอต่อ อัยการสูงสุด พิจารณาชี้ขาดคำสั่งไม่ฟ้
องของพนักงานอัยการ ซึ่งมีอัตราความเห็นแย้งเพียง ร้อยละ 0.05 หรือ ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ คสช. จะต้องออกคำสั่งให้ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคต่าง ๆ พิจารณาแทนผู้ว่าฯ เพราะความยุติธรรมที่ไร้ การตรวจสอบเลย จะเป็นความยุติธรรมไม่ได้ ดังนั้น ข้อเสนอที่ให้พนักงานอัยการเข้ ามาควบคุมการสอบสวน จึงมีวาระซ่อนเร้น ที่ไม่ต้องการให้มี การตรวจสอบคำสั่งไม่ฟ้องของอั ยการนั่นเอง ประชาชนก็จะมีแต่เสียกับเสียเท่ านั้น ไม่ได้อะไรเลย”
“หากอัยการเข้ามาควบคุ มการสอบสวน คือ การขยายหลุมดำของกระบวนการยุติ ธรรมให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพราะปัจจุบัน ป.วิ.อาญา ก็แทบจะไม่ได้ควบคุมดูแลอั ยการเลย ไม่มีเวลาสั่งคดี การใช้ดุลพินิจใด ๆ ก็ไม่มีบทบทบัญญัติให้ต้องคำนึ งความเห็นหรือเสียงของเหยื่ ออาชญากรรมที่ได้รับความเสียหาย บางคดีจึงมีการสั่งคดีล่าช้ าหลายปี ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้อย่ างไร ถ้าล่าช้าอย่างนั้น”
“การปฏิรูปองค์กรตำรวจที่แท้จริ