สถานการณ์หลังจาก ส.ค.ส.ว่าด้วย”กองหนุน”เกือบหมดแล้วอันมาจาก “บ้านสี่เสา” ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งๆที่เจ้าของ”คำพูด”อยู่ใน “ความนิ่ง”
แต่กล่าวสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งรับฟังคำพูดว่าด้วย”กองหนุน”เต็ม 2 หู
กลับมากด้วย “การเคลื่อนไหว”
“วันนี้ผมต้องเปลี่ยนแปลงเพราะผมไม่ใช่ทหาร เข้าใจไหม เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร”
นี่ย่อมต่างไปจากเมื่อเดือนมกราคม 2559
เพราะเมื่อเดือนมกราคม 2559 ไม่เพียงแต่ยืนยันไม่เคยเปิดบ้านให้คนไปอวยพรด้วยเหตุผลเฉียบคม
“ผมไม่ใช่นักการเมือง”
อาจเป็นเพราะตีความคำว่า”กองหนุน”ไปสัมพันธ์กับกระบวนการของ “ประชารัฐ”
จึงเห็นว่าคำจาก”บ้านสี่เสา”เป็น “กัปปิยโวหาร”
“ป๋าเปรมก็บอกว่าใช้ไปหมดแล้วแต่ทำอย่างไรมันจะมากขึ้น ผมตีความแบบนี้ คิดว่าป๋าเปรมคงไม่ได้มีเจตนาอะไรกับผมที่จะมองในเรื่องไม่ดี
“ป๋าเปรมให้กำลังใจรัฐบาลมาโดยตลอดคงไม่พูดอะไรที่ทำให้ผมเสียหาย
“ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตีความอย่างไร
“ต้องคิดอย่างสร้างสรรค์กันหน่อย ถ้าหาประเด็นตีกันอยู่แบบนี้มันก็ไม่ได้”
เท่ากับแปร”วิกฤต”ให้กลายเป็น”โอกาส”
อย่าได้แปลกใจหากจะเห็นความคึกคักอันมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เป็นความคึกคักที่ยอมรับกับการเป็น “นักการเมือง”
เพราะหากมิใช่ “นักการเมือง”คงไม่สามารถ “ตีความ”ว่าด้วยคำว่า “กองหนุน”จากปาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ออกมาได้สละสลวย ราวกับถลาแล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ได้ในระนาบนี้
หลังจากนั้นก็ได้รับการขานรับไม่ว่าจะจากพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ว่าจะจากพรรคประชาธิปัตย์ ต่อ”นักการเมือง”หน้าใหม่เจ้าของนาม ประยุทธ์ จันทร์โอชา
การเมืองต้นปี 2561 จึงคึกคักอย่างยิ่ง