นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ทางศูนย์ได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2561 จากเดิมเดือนตุลาคม 2560 ประมาณไว้ขยายตัว 4.2% เป็น 4.4 % ภายใต้กรอบ 4.2-4.6%
ทั้งนี้ ปัจจัยบวกเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าขยายตัวเกินคาดการณ์ไว้ การส่งออกฟื้นตัวอย่างชัดเจน การลงทุนภาครัฐเร่งตัวและเพิ่มขึ้น รวมถึงออกมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ภาคท่องเที่ยวขยายตัวได้ต่อเนื่อง แนวโน้มระดับราคาสินค้าเกษตราสูงขึ้นส่งผลต่อรายได้เกษตรกรดีขึ้น และการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวตามการส่งออกและการลงทุนภาครัฐ
ขณะที่ปัจจัยลบ คือ นโยบายเศรษฐกิจสหรัฐเพิ่มระดับความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลก แนวโน้มปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยตลาดโลก เศรษฐกิจจีนขยายตัวต่ำกว่าระดับศักยภาพ เงินบาทแข็งค่าค่อนข้างสูงและเร็วกว่าประเทศคู่ค้าสำคัญ หนี้ครัวเรืออยู่ในเกณฑ์สูงและสถาบันการเงินระมัดระวังปล่อยกู้ และกำลังการผลิตส่วนเกินคงอยู่ระดับสูงหรือประมาณ 60%
ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว ทางศูนย์ได้ทำสถานการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2561 ไว้ 3 กรณี ได้แก่ กรณีฐาน (BaseCase) ที่มีโอกาสเกิดขึ้น 65% คือ จีดีพี ขยายตัว 4.4% บนสมมุติฐานจากลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น 10% จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยเพิ่ม 9% หรือ 38.6 ล้านคน ธนาคารกลางโลก (เฟด) ปรับดอกเบี้ย 3 ครั้งหรือเพิ่ม 2.20% ราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 60 เหรียญต่อบาร์เรล ค่าเงินบาทเฉลี่ย 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อัตราดอกเบี้ยไทยคงที่ 1.5% ทำให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 3.7% เงินเฟ้อเพิ่้ม 1.3% การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 4.3% การส่งออกขยายตัว 6%
กรณีดีที่สุด (BestCase) จีดีพีขยายตัว 4.6% มีโอกาสเกิดขึ้น20% บนสมมุติฐานการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นกว่า 15% จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มกว่า 10%และค่าเงินบาทเฉลี่ยกว่า 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทำให้ภาคบริโภคเอกชนขยายตัว 3.8% ภาคลงทุนขยายตัว 4.5% การส่งออกขยายตัว 6.3%
อีกกรณีที่แย่ที่สุด (WorstCase) จีดีพีขยายตัว 4.2% มีโอกาสเกิดขึ้น15% บนพื้นฐานสมมุติฐานเศรษฐกิจโลกแย่กว่ากรณีฐาน จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่ม8% ค่าเงินเฉลี่ยต่ำกว่า 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทำให้การบริโภคเอกชนขยายแค่3.5% การลงทุนเอกชนขยาย 4.1%และส่งออกขยายเหลือ 5.7%
“การขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้น่าจะขยายตัว 4.4% นั้น ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่เศรษฐกิจไทยโตเกิน 4% โดยครึ่งปีหลังจะขยายตัวดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะแรงหนุนจากเงินลงทุนรัฐ การลงทุนเอกชน ราคาพืช และเศรษฐกิจฐานรากขยายตัวชัดเจน โดยภาคตะวันออก จะขยายตัวได้มากสุด หรือขยายตัว 5.9% ผลจากการลงทุนภาครัฐและเอกชนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) และผลักดันเป็นมหานครผลไม้โลก และทั้ง 3 กรณีต้องอยู่บนพื้นฐานการเมืองต้องมีเสถียรภาพบนโรดแมปจัดการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ” นายธนวรรธน์กล่าว
