ก.ล.ต. กล่าวโทษกรรมการ “เอิร์ธ” 11 ราย เหตุหนี้โผล่ผิดปกติ 2.6 หมื่นลบ.

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ก.ล.ต.ได้กล่าวโทษกรรมการและอดีตกรรมการบริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือเอิร์ธ รวม 11 ราย ประกอบด้วย 1.นายพิสุทธิ์ พิหเคนทร์ 2.นายขจรพงศ์ คำดี 3.นายธนาวรรธน์ ประทุมสุวรรณ์ 4.นายพิรุฬห์ พิหเคนทร์ 5.นายพิพรรธ พิหเคนทร์ 6.นายพิบูล พิหเคนทร์ 7.น.ส.กาญจนา จักรวิจิตโสภณ 8.นายสมเกียรติ ศุขเทวา 9.นายสุริยาภรณ์ บุญชัย 10.นายเอกนฤน ธรรมมารักษ์ และ 11.นายธงชัย วัฒนโสภณวงศ์ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณียินยอมให้ลงข้อความเท็จหรือไม่ลงข้อความสำคัญในรายละเอียดเกี่ยวกับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นจำนวน 26,000 ล้านบาท เพื่อลวงไม่ให้ผู้ลงทุนและเจ้าหนี้รู้รายละเอียดที่แท้จริงของหนี้สิน

สืบเนื่องจากมีผู้ร้องเรียนหลายรายร้องเรียนเกี่ยวกับหนี้สินจำนวน 26,000 ล้านบาทที่เพิ่มขึ้น ภายหลังจากที่เอิร์ธส่งงบการเงินงวดไตรมาส 1/2560 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของหนี้สินนี้เป็นเหตุให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงจาก 10,349 ล้านบาท เป็นติดลบ 15,651 ล้านบาท และคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้เอิร์ธ เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการเมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 ก.ล.ต.จึงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความมีอยู่และสถานะของหนี้สินที่เพิ่มขึ้นจำนวน 26,000 ล้านบาท

จากการตรวจสอบ ก.ล.ต. พบว่ารายงานการประชุมคณะกรรมการบริษัท และข้อมูลที่เอิร์ธเปิดเผยผ่านระบบสารสนเทศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หลายครั้ง เอิร์ธไม่ได้ให้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่าหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นค่าเสียหายพิเศษหรือค่าเสียโอกาส ซึ่งจากรายงานการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (สเปเชียล ออดิท) ที่ก.ล.ต.สั่งให้เอิร์ธจัดทำ ระบุว่ามูลหนี้ดังกล่าวไม่สามารถบันทึกเป็นหนี้สินในงบการเงินตามมาตรฐานการบัญชี และได้ระบุความเห็นของที่ปรึกษากฎหมายรายหนึ่งว่า หนี้สินส่วนที่เป็นค่าเสียหายพิเศษตามข้อตกลงในสัญญากำหนดว่าคู่สัญญาคือ เอิร์ธไม่ต้องรับผิดชอบ นอกจากนี้เอิร์ธไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดของมูลหนี้ดังกล่าวก่อนที่จะนำมูลหนี้ทั้งจำนวนไปรวมเป็นหนี้สิน และยื่นขอเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ

การกระทำข้างต้นของกรรมการและอดีตกรรมการของเอิร์ธทั้ง 11 ราย ที่ร่วมกันดำเนินการ มีส่วนรู้เห็น ยินยอม หรือสนับสนุนให้ลงข้อความเท็จหรือไม่ลงข้อความสำคัญในรายละเอียดของหนี้สินดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการลวงให้ผู้ลงทุนและเจ้าหนี้เข้าใจผิดว่าเอิร์ธ มีภาวะหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน เป็นความผิดตามมาตรา 312 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยการกระทำผิดอาจต้องระวางโทษอาญาโดยจำคุกตั้งแต่ 5-10 ปี และปรับตั้งแต่ 500,000 – 1 ล้านบาท นอกจากนี้ก.ล.ต. ยังอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับมูลค่ายุติธรรมของทรัพย์สินและการบันทึกบัญชี ซึ่งหากพบว่าเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

Advertisement

การถูกกล่าวโทษข้างต้นมีผลให้กรรมการและอดีตกรรมการข้างต้น เข้าข่ายลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนตามประกาศก.ล.ต. จึงไม่สามารถเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนตลอดระยะเวลาที่ถูกกล่าวโทษดำเนินคดี อย่างไรก็ตามการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นขั้นตอนในอำนาจการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ตลอดจนดุลพินิจของศาลยุติธรรมตามลำดับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image